พระสมเด็จเนื้อหยก สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี “กรุพระธาตุพนม(จำลอง)
” พระสมเด็จเนื้อหยกกรุพระธาตุพนม (จำลอง)” นั้นมีการสร้างจริงในสมัยสมเด็จพระพุฒาจารย์โตหรือไม่
ในวันนี้ “ทางพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา” ขอนำข้อมูลทางด้านประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานอ้างอิงได้และได้นำตัวอย่างพระสมเด็จเนื้อหยก(แท้) มาให้ท่านสมาชิกได้ศึกษาและพิจารณา
จากข้อมูลที่เคยมีการกล่าวถึงไว้ว่า ได้มีการบรรจุพระสมเด็จแบบต่างๆและพระพิมพ์แบบต่างๆจำนวนมากลงในกรุพระธาตุพนมจำลองที่ตั้งอยู่บริเวณวัดพระแก้ววังหน้าในสมัยรัชกาลที่ 4
แต่ในที่นี้จะขอให้ข้อมูลและการพิจารณาเฉพาะพระสมเด็จเนื้อหยก(แท้)ว่ามีการสร้างจริงหรือไม่เท่านั้น เพราะจะขอพิสูจน์เฉพาะในส่วนที่ทางพิพิธภัณฑ์ฯได้เก็บรักษา โดยมีหลักฐานที่เป็นพระสมเด็จเนื้อหยกอยู่จริงมาแสดงให้ชม โดยมีการนำข้อมูลต่างๆมาประกอบในการพิจารณาคือ
1.พระธาตุพนมจำลองนั้นมีหรือเคยมีอยู่จริง และมีหลักฐานการสร้างขึ้นจริงหรือไม่
2.องค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต ท่านมีอายุขัยอยู่ในช่วงนั้นจริงหรือไม่ และมีหลักฐานว่าท่านมีส่วนในการสร้างพระธาตุพนมจำลองหรือไม่
3.มีการสร้างพระสมเด็จเนื้อหยกขึ้นจริงในเวลานั้น(เมื่อ165ปีก่อน) แล้วมีการนำไปบรรจุลงในกรุพระธาตุพนมจำลองจริงหรือไม่
ถ้าเราสามารถหาข้อมูลมาพิสูจน์หลักฐานทั้ง 3ข้อด้านบนได้ ก็แสดงว่ามีการสร้างขึ้นจริงอย่างแน่นอน
หลักฐาน ข้อที่ 1
– ในปี พ.ศ. ๒๔๐๑ ซึ่งตรงกับรัชสมัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 นั้นมีหลักฐานพร้อมภาพถ่ายเก่าที่พบว่าได้มีการก่อสร้างพระธาตุพนมจำลองไว้ที่ด้านหน้าของวัดพระแก้ววังหน้าจริง(มีภาพประกอบ) โดยมีพระราชพิธีสมโภชเฉลิมฉลองพระธาตุพนมจำลอง ซึ่งสามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้
หลักฐาน ข้อที่ 2
– ในปีพ.ศ. 2401 สมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นจริงหรือไม่ เพราะจากประวัติของท่านนั้น ท่านเกิดในปีพ.ศ.2331และมรณภาพในปีพ.ศ.2415 หลังจากสร้างพระธาตุพนมจำลองแล้วเสร็จถึง 14ปี และท่านมีส่วนร่วมและส่วนเกี่ยวข้องในการสร้างโดยท่านเป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นอกจากนั้นยังมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายที่เป็นรูปปั้นของท่านอยู่ที่ด้านใน บริเวณยอดพระฐาตุที่เป็นบัวเหลี่ยมที่หล่อด้วยโลหะของพระธาตุพนมด้วย(มีภาพประกอบ) ซึ่งเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ว่าท่านมีความเกี่ยวข้องกับพระธาตุพนมทั้งองค์จริงและองค์จำลอง
ในสมัยรัชกาลที่ 4 นั้นถ้าใครได้อ่านพระราชประวัติของพระองค์ท่าน จะทราบว่า พระองค์ท่านมีความเคารพ,ศรัทธาและมีความใกล้ชิดกับองค์สมเด็จพระพุฒาจารย์โตเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อมีการสร้างพระธาตุพนมจำลองขึ้น พระองค์ท่านจะมอบหมายงานในส่วนของการก่อสร้างกับกรมพระราชวังบวรฯเป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในส่วนประธานฝ่ายสงฆ์และพิธีการทางศาสนาต่างๆนั้นได้แก่ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต โดยพระราชประเพณีที่ทรงปฎิบัติสืบต่อกันมาคือการสร้างวัตถุมงคลต่างๆเพื่อบรรจุไว้ในสถานที่ศักด์สิทธิ์ต่างๆที่สร้างขึ้นใหม่ด้วยทุกครั้ง ในยุคนั้นก็คือการสร้างพระสมเด็จและพระพิมพ์ต่างๆที่เป็นที่เคารพศรัทธา เนื่องจากพระธาตุพรมจำลองเป็นสถานที่สำคัญและสร้างขึ้นในโอกาสที่สำคัญ จึงมีการใช้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดคือทั้งช่างสิบหมู่,ช่างหลวงและมีการเลือกวัสดุ,มวลสารที่พิเศษและมีค่าที่สุดมาใช้ในการสร้างพระเครื่องต่างๆ ซึ่งมีเนื้อหยก,ทองคำ,มุก,ปิดแผ่นทอง เป็นต้น
จากประวัติศาสตร์ ซึ่งในยุคสมัยของรัชกาลที่ 4นั้นไทยมีการติดต่อซื้อขายกับประเทศจีนอย่างใกล้ชิด และได้มีเดินทางของเจ้านายชั้นสูงไปยังประเทศจีน เพื่อนำทั้งหยก,มุก,หินจุยเจีย,ปูนจีน(ปูนเพชร)และหินสีและหินธรรมชาติต่างๆเข้ามาเป็นจำนวนมาก และส่วนหนึ่งก็ได้มีการนำมาใช้เป็นมวลสารและสร้างพระสมเด็จด้วยแบบต่างๆด้วยเช่นกัน
หลักฐานข้อที่ 3
– จากข้อมูลข้างต้น เมื่อมีการสร้างพระสมเด็จแบบต่างๆ ขึ้นจริงพร้อมทั้งมีการนำพระเครื่องที่เคยสร้างไว้ก่อนหน้าจำนวนมาก เพื่อนำไปบรรจุไว้ในพระธาตุพนมจำลอง ดังนั้น การจะพิสูจน์ว่ามีการสร้างพระสมเด็จเนื้อหยกขึ้นจริงในสมัยนั้นและเป็นของแท้ตรงยุคหรือไม่ จะต้องมีการพิจารณาองค์ประกอบหลัก 3ประการว่ามีครบถ้วนหรือไม่คือ
1.วัสดุคือหยกที่ใช้สร้างจะต้องเป็นหยกแท้จากธรรมชาติซึ่งหยกส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการนำเข้ามาจากประเทศจีนในยุคนั้น เพราะว่าพระสมเด็จที่สร้างในขณะนั้นถือว่าเป็นของสูง,และเป็นของศักดิ์สิทธิ์ และผู้สร้างไม่ใช่สามัญชนคนธรรมดา ซึ่งการพิจารณาในเบื้องต้นคือ
– หยกที่ใช้สร้างพระสมเด็จนั้นจะต้องเป็นหยกแท้ คุณสมบัติเบื้องต้นนั้น หยกธรรมชาติจะมีความเย็นเมื่อสัมผัส เพราะหยกแท้จะมีคุณสมบัติในการดูดซับความเย็นจากอากาศและคายความร้อนได้ดีถ้าเป็นแก้ว,พลาสติกหรือเรซินจะไม่มีความเย็น
– ในขนาดที่เท่ากันหยกจะมีน้ำหนักในตัวคือรู้สึกหน่วงมือเวลายก ถ้าเป็นพลาสติกหรือเรซินจะเบา
– เมื่อนำหยกมาส่องใต้แสงไฟจะเห็นลายหรือเส้นในเนื้อใน ส่วนแก้ว,พลาสติกหรือเรซินจะโปร่งแสง,ใส
– ถ้าการพิสูจน์ที่แน่นอนคือการใช้เครื่องมือมาช่วยตรวจสอบ
– จากการพิจารณาองค์พระแต่ละองค์พบว่า
1.พระสมเด็จทั้งหมด 15องค์มีคุณสมบัติครบถ้วนตามคุณสมบัติเบื้องต้นตามที่กล่าวมา
2.สีของหยกที่พบในพระสมเด็จทั้ง 15องค์จะมีความเข้ม&อ่อนที่แตกต่างกันเป็นธรรมชาติไม่ใช่พระโรงงานที่นำวัสดุแบบเดียวกันสีเหมือนกันมาทำ
3.ความหนา&บางของแผ่นหยกที่สร้างพระสมเด็จนั้นแตกต่างกันไป แม้แต่ในองค์เดียวกันก็มีความหนาไม่เท่ากัน จุดนี้เป็นธรรมชาติของการสร้างจริง ต่างจากพระปลอมที่ความหนาจะเท่ากันหมดซึ่งถือว่าผิดธรรมชาติ
4.พระสมเด็จเนื้อหยกทุกองค์นั้น ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์เล็กหรือพิมพ์ใหญ่หรือไม่ว่าจะเป็นหยกสีเขียวหรือหยกสีแดงก็ตาม ทุกองค์จะมีการปิดด้วยแผ่นทองไว้หรือบางองค์มีการปิดทองร่องชาดด้วย ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนหรือวิธีการสร้างของเจ้านายชั้นสูงในการสร้างพระสมเด็จที่เคยศึกษามาในอดีต หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นสัญญลักษณ์ที่บ่งชี้ถึงผู้สร้าง(limited edition)
2.อายุความเก่าต้องถูกต้อง คือมากกว่า 165ปี
การพิจารณาพระสมเด็จเนื้อหยกเก่านั้นพิจารณาได้จาก
1.ผิวหน้าองค์พระที่มีการเจียรนัย ผิวจะไม่เรียบเพราะหน้าตัดจะต้องเจียผ่านลายหรือเส้นในเนื้อหยกเกิดลาย และเมื่อเวลาผ่านไปนับร้อยปี จะเกิดปฏิกิริยากับอากาศทำให้ผิวหน้าแห้ง,เก่า,หม่นเป็นฝ้าบางๆ ไม่เป็นเงาเหมือนของใหม่
2.พิจารณาความเก่าของแผ่นทองที่ปิด จะพบว่ามีการเกิดคราบสนิมทองคำสีแดงอมน้ำตาลคลุมผิวหน้าหนา,บางเป็นธรรมชาติ จะไม่มีความมันวาวให้เห็นเหมือนของใหม่เลียนแบบ
3.พิมพ์และวิธีการสร้างถูกต้อง
– พิมพ์
การสร้างพระสมเด็จในช่วงปีพ.ศ.2401 ซึ่งแบบพิมพ์นั้นจะถูกออกแบบโดยช่างหลวงหรือช่างสิบหมู่ ซึ่งถือว่าเป็นเป็นพิมพ์ในช่วง”ยุคกลางของพระสมเด็จวัดระฆัง” ซึ่งมีรายละเอียดพิมพ์คือ
-เป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟัก มีพระประธานประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐาน 3ชั้น อยู่ในซุ้มครอบแก้ว
-พระประธานมีลำพระองค์ขนาดใหญ่
-วงแขนทั้ง2ข้างวาดโค้งเท่าๆกันทั้ง2ข้าง
-ฐานชั้นล่างใหญ่ มีปลายตัดเฉียงเข้ามุม
-ฐานชั้นกลางเป็นแบบรางระนาดเอก ไม่ใช่ฐานสิงห์
-ไม่มีเส้นกรอบกระจกหรือเส้นบังคับพิมพ์
-เส้นซุ้มครอบแก้วเป็นเส้นกลมและสมมาตรกันทั้งซ้ายและขวา
ซึ่งจากรูปแบบพิมพ์ของพระสมเด็จเนืัอหยกทั้งหมดที่นำมาแสดงให้ชมนั้น มีรายละเอียดแบบพิมพ์ตรงตามยุคสมัยของพระสมเด็จยุคกลางทุกประการ
– การสร้าง
จากการพิจารณาพระสมเด็จเนื้อหยกทุกองค์พบว่า
1.การเจียรนัยแผ่นหยกในรายละเอียดต่างๆ มีความละเอียด,ปราณีตและงดงามเหมือนกันทุกองค์ บ่งชี้ถึงความชำนาญและความสามารถของช่างฝีมือได้เป็นอย่างดี เพราะหยกแท้เนื้อจะมีความแข็งมากการเจียรนัยและลงในรายละเอียดพิมพ์ต่างๆจะต้องใช้ฝีมือและความชำนาญเป็นอย่างมาก ต่างจากของเลียนแบบที่มีรายละเอียดจะไม่งดงามและพิมพ์ไม่เรียบร้อย
2.การปิดทองและการทำแผ่นทองปั๊มนูนปิดที่ฐานพระหรือปิดที่แผ่นหลังนั้น จะต้องใช้แผ่นทองที่มีความหนามาปั๊มนูนเป็นตัวอักษร 3แถว, บางองค์ทำเป็นแผ่นทองขนาดใหญ่เท่าองค์พระและปั๊มนูนเป็นรูปองค์พระประธานประทับนั่งบนฐาน 3ชั้น ในเส้นซุ้มครอบแก้ว ซึ่งการทำนั้นช่างธรรมดาไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
สำหรับพระสมเด็จเนื้อหยกกรุพระธาตุ พนมจำลองที่ทางพิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษานำมาให้ศึกษาในครั้งนี้มีจำนวน 15องค์ โดยทุกองค์มีการปิดทองไว้ทั้งหมด ซึ่งแบ่งออกเป็น
1.พิมพ์เล็ก 1องค์
-เป็นเนื้อหยกสีเขียว
-ปิดแผ่นทองขนาดเล็กที่ด้านหลัง มีอักษรเรียง 3บรรทัดจากบนลงล่าง ด้วยคำว่า
“ขรัวโต”
“พระธาตุ”
“๒๔o๑”
2.พิมพ์ใหญ่ 14องค์
2.1 เนื้อหยกสีแดง 7องค์ ทุกองค์มีแผ่นทอง พร้อมอักษร 3แถวจากบนลงล่างมีคำว่า
“ขรัวโต”
“พระธาตุ”
“๒๔o๑”
2.2 เนื้อหยกสีเขียว 7องค์
– 6องค์ มีรายละ เอียดพิมพ์และแผ่นทองปิดที่ฐานเหมือนกับเนื้อหยกสีเเดง
-1องค์ที่เป็นองค์พิเศษกว่าองค์อื่นคือ มีแผ่นทองขนาดใหญ่เท่าองค์พระปิดที่ด้านหลัง และที่แผ่นทองมีการปั๊มนูนเป็นรูปองค์พระประธานประทับนั่งบนฐาน 3ชั้น ในเส้นซุ้มครอบแก้ว และที่ฐานแต่ละชั้นจากบนลงล่างมีอักษรคำว่า
“พระธาตุ”
“๒๔o๑”
“ขรัวโต”
จากข้อมูลและรายละเอียดทั้งหมดที่ได้นำมาแสดงนี้สรุปได้ว่า
1.พระธาตุพนมจำลองมีการสร้างจริงในปี 2401
2.สมเด็จโตท่านมีชีวิตอยู่จริงในขณะนั้น
3.มีการสร้างพระสมเด็จเนื้อหยกจริงในขณะนั้นเพราะว่า
– พิมพ์พระสมเด็จเนื้อหยกมีพิมพ์ตรงยุคกลางจริง(พ.ศ.2401)ในขณะนั้น
– การสร้างโดยช่างฝีมือชั้นสูงและมีความชำนาญมากคือช่างสิบหมู่หรือช่างหลวง
– มีความเก่าสมอายุจริง(165ปี)
-เป็นหยกแท้จากธรรมชาติที่มีคุณค่าจริง
เป็นข้อมูลและหลักฐานที่บ่งชี้และแสดงว่า “พระสมเด็จเนื้อหยก กรุพระธาตุพนมจำลอง” ทั้งหมดนี้ ถูกสร้างขึ้นจริงในยุคของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี อย่างแน่นอน
ท่านสามารถศึกษาพระเครื่องหมวดต่างๆเพิ่มเติมของ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”แหล่งรวบรวมข้อมูลและสะสมพระพุทธรูป,พระบูชา,พระเครื่องทุกหมวดหมู่และเครื่องรางของขลังแบบต่างๆที่หาชมยากและมากที่สุดของเมืองไทย ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทาน โดยไม่มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือการพาณิชย์ใดๆมาแอบแฝง ได้ที่ช่องทาง
-เว็บไซต์ www.puttharugsa.com
-เฟสบุ๊คเพจ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา
-ช่องยูทูป” พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”