ถ้าจะกล่าวถึง”พระสมเด็จ” หนึ่งในพระเครื่องของไทยแล้วรับรองได้ว่าแทบจะไม่มีใครที่ไม่รู้จัก และที่มาของชื่อ”พระสมเด็จ”นั้นก็มาจาก”พระสมเด็จวัดระฆัง” ซึ่งนับว่าเป็นพระเครื่องที่ได้รับความความนิยมมากที่สุดในบรรดาพระเครื่องทั้งหมดและยังเป็นที่เป็นที่ต้องการของทั้งนักสะสมชาวไทยรวมถึงชาวต่างชาติเช่น0จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย และชาวตะวันตกบางกลุ่ม ส่วนสาเหตุนั้นเนื่องมาจากความเชื่อในพุทธคุณที่ครอบครุมรอบด้านรวมถึงพระสมเด็จแท้ที่นับว่าหาได้ยากยิ่งและราคาการเช่าหาและแลกเปลี่ยนที่สูงมากก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ แต่ในบรรดาผู้ที่สนใจในพระสมเด็จทั้งหลายเหล่านั้นจะมีใครทราบบ้างหรือไม่ว่าประวัติและต้นกำเนิดของพระสมเด็จนั้นจริงๆแล้วเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคสมัยใดและใครเป็นผู้ริเริ่มในการสร้างขึ้นมาเป็นครั้งแรก
บางท่านที่เริ่มเข้ามาศึกษาพระเครื่องใหม่ๆก็จะคิดว่าพระสมเด็จนั้นเริ่มสร้างในสมัยที่มีการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังในยุคของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี เจ้าอาวาสวัดระฆังโฆษิตาราม กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีอายุการสร้างไม่ต่ำกว่า150 ปี แต่บางท่านที่ได้เคยศึกษาพระเครื่องในยุคเก่าย้อนลงไปอีกก็จะพอทราบจากประวัติศาสตร์ว่ามีพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหรือพิมพ์พระสมเด็จที่มีการสร้างมาก่อนหน้านั้นแล้วคือ”พระสมเด็จอรหัง” ในสมัยของสมเด็จพระสังฆราชญานสังวร(พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน) แห่งวัดราชสิทธารามหรือวัดพลับฝั่งธนบุรี แต่ถ้าจะให้สืบค้นย้อนหลังที่เก่ากว่ายุคสมเด็จอรหังลงไปอีกก็ยังไม่เคยมีข้อมูลจากประวัติศาสตร์หรือบันทึกเรื่องราวใดๆไม่ว่าโดยทางราชการหรือข้อมูลจากบุคคลใดๆก็ตามที่มีการกล่าวถึงพิมพ์พระสมเด็จไว้แต่ประการใดจนมาถึงยุคปัจจุบันนี้
แต่นับเนื่องจากที่ผมได้เริ่มเข้ามาศึกษาพระเครื่องครั้งแรกในปีพ.ศ.2546 ในหมวด”พระกรุนาดูน” และที่ได้ศึกษามาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งได้จัดพิมพ์หนังสือ”คัมภีร์ไขปริศนาพระกรุนาดูน” ในปีพ.ศ.2559 ผมก็ยังไม่เคยพบเจอพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่คล้ายกับพระพิมพ์สมเด็จจากที่ใดเลยยกเว้นจาก”พระพิมพ์กรุนาดูน” แห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งในตอนแรกที่ผมได้พบเห็นพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักของกรุนาดูนเมื่อกว่า17ปีก่อนนั้น ผมยังไม่เคยศึกษาพระเครื่องหมวดอื่นๆเลยเพียงแต่รู้จักพระสมเด็จวัดระฆังและสมเด็จบางขุนพรหมเพียงผิวเผินเท่านั้น ผมจึงยังไม่สามารถที่จะนำเสนอข้อมูลเรื่องพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหรือ” พระหัวแหลม”ที่เป็นชื่อเรียกตามรูปลักษณ์ที่ผู้อาวุโสที่เป็นผู้ขุดพบใช้เรียกในขณะนั้นซึ่งหมายถึง”พระสมเด็จกรุนาดูน” ดังนั้นการที่จะนำเสนอให้ข้อมูลใดๆในเวลานั้นคงจะไม่มีใครยอมรับและเป็นที่น่าเชื่อถืออย่างแน่นอน จนกระทั่งในปัจจุบันนี้เวลาผ่านมากว่า17 ปีที่ผมได้ทำการศึกษาพระเครื่องแทบทุกหมวดหมู่มาอย่างต่อเนื่องทั้งจากหนังสือ,ตำราทางวิชาการ จากการเข้าร่วมสังเกตการในกลุ่มและชมรมต่างๆและจากการศึกษาจากพระเครื่องของจริงซึ่งได้แก่หมวดพระพิมพ์หมวดสมเด็จทั้งหมด พระกรุเนื้อดิน ชิน ว่าน พระเครื่องชนิดเหรียญทั้งหมดทั้งเหรียญหล่อโราณ เหรียญปั๊มยุคต่างๆ หมวดพระพุทธรูป หมวดเทวรูปโบราณต่างๆและหมวดเครื่องรางของขลัง ซึ่งผมได้เก็บสะสมรวบรวมไว้ทั้งหมดจำนวนหลายหมื่นชิ้น และการที่ผมได้ผ่านการเรียนการศึกษามาทางด้านวิทยาศาสตร์ที่สอนและฝึกฝนงให้ต้องมีการสังเกตและศึกษาสิ่งต่างๆนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล จึงมีการการนำความรู้เหล่านั้นมาช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูล อีกทั้งการที่ได้มีโอกาสศึกษาพระเครื่องหมวดต่างๆจากของจริงและจากผู้รู้หลายๆท่านทำให้ผมมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่าข้อมูลต่างๆที่ผมจะนำเสนอเรื่องพระพิมพ์พระสมเด็จนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อประวัติศาสตร์พระเครื่องของไทยบ้างไม่มากก็น้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ”พระสมเด็จ” ที่ว่า”พระพิมพ์สมเด็จกรุนาดูน” กับ”พระสมเด็จวัดระฆัง” ที่มีพุทธศิลป์ที่คล้ายกันมากนั้นจะมีที่มาและความสัมพันธ์กันหรือไม่มากน้อยเพียงใด
ก่อนอื่นนั้นควรจะต้องทราบข้อมูลเบื้องต้นเสียก่อนว่าพระเครื่องที่เราเรียกกันว่า”พระสมเด็จ”นั้นเป็นพระพิมพ์คือการสร้างนั้นจะต้องมีแบบแม่พิมพ์ก่อนแล้วจึงจะนำมวลสารมากดลงในแม่พิมพ์ที่เตรียมไว้จึงจะได้เป็นพระพิมพ์สมเด็จที่เราได้เห็นและบูชากันอยู่ในขณะนี้ และก่อนที่จะมีแบบพิมพ์นั้นก็จะต้องมีคนสร้างแบบพิมพ์ขึ้นมาก่อนในเบื้องต้นซึ่งก็คือช่างศิลป์หรือผู้ที่มีความสามารถทางศิลปะทั้งที่ผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาก่อนหรืออย่างน้อยต้องเคยฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเสียก่อนจึงจะสามารถสร้างแบบพิมพ์ขึ้นมาได้ ไม่ใช่ว่าใครคิดจะสร้างก็ได้ ซึ่งถ้าเข้าใจจุดนี้แล้วก็จะทำให้พอมองภาพรวมในรายละเอียดถึงที่มาและต้นกำเนิดของพระพิมพ์สมเด็จที่จะได้นำเสนอต่อไปได้อย่างเข้าใจมากยิ่งขึ้น
พระพิมพ์นั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในโลกที่ประเทศอินเดียโบราณราวพ.ศ.600 -800 ในสมัยคันธาระ(พระเจ้ากนิษกะ) แม้ว่าจะมีการสร้างศิลปะวัตถุมาก่อนหน้านั้นเช่นสกุลศิลปะเมารยะ(Maurya)แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีการสร้างพระพุทธรูปหรือพระพิมพ์ การสร้างพระพิมพ์ที่อินเดียโบราณนั้นมีการสร้างกันมาอย่างต่อเนื่องหลายยุคสมัยจนถึงยุคสุดท้ายก่อนที่จะล่มสลายคือยุคของวิชัยนคร ราวพ.ศ.1893-2108 พระพิมพ์โบราณในแต่ละยุคนั้นจะมีการเรียนการสอนเปิดเป็นสำนักต่างๆมากมายและเจริญรุ่งเรืองมากในยุคนั้นเพราะว่าผู้ที่สร้างส่วนใหญ่ก็จะเป็นพระสงฆ์ จากนั้นก็ได้มีการเผยแพร่พระพุทธศาสนาจากอินเดียโบราณมายังสุวรรณภูมิอย่างต่อเนื่องมาถึง3คลื่นด้วยกันและขณะเดียวกันก็ได้มีการนำเอาต้นแบบและแนวคิดของการสร้างพระพิมพ์มาเผยแพร่ควบคู่กันไปด้วย ที่อำเภอนาดูนหรือนครจำปาศรีที่เคยรุ่งเรืองมากในอดีตก็ได้รับอิทธิพลของศิลปะการสร้างพระพิมพ์นี้มาด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากประวัติการขุดพบศิลปะวัตถุต่างๆมากมายโดยกรมศิลปากรซึ่งมีตั้งแต่ยุคสมัยของพระเจ้าอโศกคือสถูปแบบโบราณเป็นต้นมา(รูปภาพด้านล่าง) จนถึงยุคของการสร้างพระพิมพ์แบบต่างๆตั้งแต่ยุคต้นไล่เรียงมาจนครั้งสุดท้ายคือสมัยปาละ-เสนา ดังจะเห็นได้ว่าพระพิมพ์ต่างๆที่ขุดพบที่กรุนาดูนนั้นจะมีรูปแบบของศิลปะตั้งแต่ยุคต้นจนมาถึงยุคกลางมากมายและศิลปะต่างๆที่พบเห็นยังคงรายละเอียดของพุทธศิลป์แบบอินเดียโบราณไว้ ซึ่งมีอายุเฉลี่ยที่เก่าที่สุดกว่า1พันปี
จากตำราและข้อมูลการสร้างและตัวอย่างพระพิมพ์ของอินเดียโบราณนั้นอ.จิตร บัวบุศย์ อดีตศิลปินแห่งชาติและผู้เชี่ยวชาญด้านพระพิมพ์ของเมืองไทย ท่านได้จัดพิมพ์เป็นตำราไว้ให้ศึกษาโดยละเอียดว่ารูปแบบและรายละเอียดของพระพิมพ์ในแต่ละยุคนั้นเป็นอย่างไร สามารถนำมาเทียบเคียงได้กับยุคสมัยใดของไทย ซึ่งเมื่อทราบยุคสมัยแล้วก็จะทำให้เราสามารถทราบอายุอย่างคร่าวๆของพระพิมพ์นั้นได้ และจากข้อมูลในตำรานี้เองเราจึงสามารถนำแบบพิมพ์ของอินเดียโบราณที่เป็นสี่เหลี่ยมชิ้นฟักดั้งเดิมมาเทียบเคียงกับพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางสมาธิของกรุนาดูนก็จะสามารถทราบอายุคร่าวๆของพระพิมพ์ของกรุนาดูนได้ ซึ่งผู้เขียนจะได้นำเสนอแนวทางของพุทธศิลป์ของพระพิมพ์ของอินเดียโบราณตั้งแต่ยุคต้นจนมีพัฒนาการมาถึงพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหรือที่เรารู้จักกันในชื่อ” พิมพ์พระสมเด็จ” ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
วิวัฒนาการของพระพิมพ์โบราณก่อนที่จะมาเป็นพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหรือพระสมเด็จ
รูปแบบการสร้างพระพิมพ์ที่ได้ศึกษาจากหนังสือของอ.จิตร บัวบุศย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพิมพ์ที่มีความรู้ความชำนาญที่สุดคนหนึ่งของประเทศไทยนั้น ท่านได้นำรูปภาพพระพิมพ์ต่างๆที่ถ่ายจากองค์จริงเพื่อนำมาให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาและนำมาเปรียบเทียบทั้งรายละเอียดพิมพ์และยุคสมัยของอินเดียโบราณว่าตรงกับยุคสมัยใดของสุวรรณภูมิและของประเทศไทยในอดีต ทำให้เราสามารถมองภาพของวิวัฒนาการของพระพิมพ์ได้อย่างกระจ่างชัดมากที่สุด ซึ่งผมจะขอนำเฉพาะในส่วนที่สำคัญที่เกี่ยวกับหัวข้อที่กำลังศึกษาอยู่มาอธิบายเท่านั้น
รูปที่1. เป็นพระพิมพ์ในยุคแรกสมัยคันธาระ จากภาพจะพบว่าเป็นแบบพิมพ์ลอยองค์ซึ่งจะเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งอยู่บนฐานเตี้ยชั้นเดียว และองค์พระประธานจะมีประภามณฑลรอบเศียร
จากภาพด้านบน(รูปที่3)นั้นจะเห็นว่ารายละเอียดของพระพิมพ์ในสมัยปาณทยะ-โจฬะ ซึ่งตรงกับสมัยสุโขัยของไทยนั้น พระพิมพ์จะเริ่มมีรายละเอียดพิมพ์ที่คล้ายคลึงกับพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหรือพระสมเด็จในยุคปัจจุบันให้ได้พบเห็นเป็นยุคแรก คือเป็นรูปสี่เหลี่ยมชิ้นฟักรายละเอียดภายในมีพระประธานประทับนั่งสมาธิบนฐานและมีเส้นซุ้มครอบแก้วทรงระฆังคว่ำอย่างชัดเจน ซึ่งถ้าเทียบยุคสมัยปาณฑยะ-โจฬะ หรือตรงกับสมัยสุโขทัยเราก็จะสามารถเทียบเคียงหาอายุพระพิมพ์ที่สร้างได้ว่าน่าจะประมาณพ.ศ.1400-1900(ปาณทยะ-โจฬะ)แพร่เข้ามาประเทศไทยเมื่อพ.ศ.1792-1981(สมัยสุโขทัย)คือเมื่อประมาณ500-700ปีก่อนโดยประมาณซึ่งอยู่ในช่วงอาณาจกรนครจำปาศรียังเจริญรุ่งเรืองอยู่ ซึ่งหมายความว่าพระพิมพ์สมาธิสี่เหลี่ยมชิ้นฟักในซุ้มครอบแก้วนี้มีความเก่าแก่มากและถือว่าน่าจะเป็นต้นแบบของพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่ช่างศิลป์ในยุคหลังๆได้นำมาสร้างเป็นพระสมเด็จที่เรารู้จักกันในยุคปัจจุบันนี้
จากการที่ได้ขอความรู้และความคิดเห็นจากศิลปินแห่งชาติท่านหนึ่งที่ผมได้นำพระพิมพ์สมาธิสี่เหลี่ยมชิ้นฟักกรุนาดูนองค์จริงไปปรึกษากับท่าน เมื่อท่านได้เห็นศิลปะรายละเอียดต่างๆรวมถึงความเก่าแก่ของเนื้อดินเผาและข้อมูลต่างๆในหนังสือพระกรุนาดูนที่ผมได้จัดพิมพ์แล้ว ท่านได้อธิบายและให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่าศิลปินในทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมานั้น จะศึกษาวิชาศิลปะจากตำราที่มีต้นแบบมาจากศิลปินรุ่นเก่าๆที่ถูกถ่ายทอดต่อๆกันมารุ่นสู่รุ่นเป็นส่วนใหญ่ โดยช่างศิลป์ส่วนหนึ่งอาจจะมีการนำมาดัดแปลงในรายละเอียดบ้างตามความคิดของแต่ละท่านแต่ส่วนใหญ่แล้วจะคงรูปแบบเดิมไว้
ท่านให้ความเห็นเรื่องพระพิมพ์สมาธิสี่เหลี่ยมชิ้นฟักเนื้อดินเผากรุนาดูนหรือพระสมเด็จกรุนาดูนว่าเก่าแก่มากจากการพิจารณาของท่านและท่านเชื่อว่าพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักนี้ก็น่าจะถูกถ่ายทอดรูปแบบศิลปะต่อๆกันมายังศิลปินรุ่นหลังที่มีความสนใจ และช่างศิลป์ที่ได้เคยศึกษารูปแบบการสร้างพระพิมพ์ในอดีตย่อมต้องเคยเห็นและรู้จักแบบพิมพ์นี้มาบ้างเพราะอยู่ในช่วงยุคสมัยสุโขทัย จึงมีความเป็นไปได้มากที่ศิลปะพระพิมพ์เหล่านี้จะถูกถ่ายทอดมาสู่รุ่นหลังต่อมายังช่างศิลป์ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์และทำให้ช่างที่ออกแบบพิมพ์พระสมเด็จในยุคเจ้าประคุณสมเด็จโต น่าจะนำรูปแบบศิลปะแบบพิมพ์โบราณนี้มาออกแบบถวายท่านก่อนจนเป็นที่มาของพระพิมพ์พระสมเด็จวัดระฆังที่เราได้รู้จักกันถึงทุกวันนี้ เพราะว่าจากประวัติการสร้างพระพิมพ์ขององค์สมเด็จโตนั้น ท่านได้สร้างพระพิมพ์ไว้หลากหลายพิมพ์มากไม่ว่าจะเป็นพระรอด พระซุ้มกอ ฯลฯซึ่งล้วนแต่เป็นพระพิมพ์ที่เคยถูกสร้างมาก่อนแล้วในสมัยก่อนทั้งสิ้น ซึ่งท่านน่าจะเคยได้พบเห็นแบบพิมพ์เหล่านั้นขณะที่ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือหรือเกิดจากช่างศิลป์ได้ออกแบบถวายท่าน ส่วนพระพิมพ์พระสมเด็จนั้นยังคงเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้ว่าแบบพิมพ์นั้นมาจากที่ใดและใครเป็นผู้คิดขึ้นมา ซึ่งจากการที่ผมได้ปรึกษาและสอบถามข้อมูลจากอาจารย์ไพศาล มุสิกะโปดก ซึ่งถือว่าท่านเป็นผู้ที่ศึกษาประว้ติศาสตร์และชีวประวัติรวมถึงการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี มาโดยละเอียดเป็นเวลาหลายปีและนับว่าเป็นผู้ที่มีความรอบรู้ เชี่ยวชาญ และแตกฉานท่านหนึ่งและท่านยังเป็นผู้ร่วมขก่อตั้งหลักสูตรการเรียนเกี่ยวกับการศึกษาพระสมเด็จให้กับศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน กระทรวงศึกษา และเปิดอบรมแก่ผู้ที่สนใจมาแล้วมากมายหลายรุ่น ท่านให้แนวคิดที่น่าสนใจมากว่า ” เมื่อท่านได้เห็นพระพิมพ์สมเด็จของกรุนาดูนครั้งแรกนั้นสิ่งที่บ่งบอกได้อย่างเด่นชัดมาก็คือความเก่าและความแกร่งมาก ส่วนรูปแบบพระพิมพ์นั้นมีความคล้ายกับพิมพ์ของพระพิมพ์สมเด็จวัดระฆังอย่างเห็นได้ชัดและน่าจะเป็นต้นแบบที่ช่างยุคหลังได้นำมาสร้าง” และท่านยังให้ข้อคิดเห็นเพิ่มเติมว่า” จากประวัติการสร้างพระสมเด็จวัดระฆังของสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต นั้นในยุคแรกๆท่านได้ให้ช่างอู่ต่อเรือเป็นผู้ออกแบบถวายก่อนแล้วจึงนำแบบพิมพ์นั้นมาทำการสร้างพระพิมพ์สมเด็จพิมพ์อกครุฑเศียรบาตรเป็นพิมพ์แรกๆในเวลาต่อมา” จากจุดนี้จึงเชื่อมโยงกันกับข้อมูลที่ท่านศิลปินแห่งชาติที่ได้เคยให้ข้อมูลไว้ในตอนต้น จากข้อมูลต่างๆเหล่านี้น่าจะอนุมาณในเบื้องต้นว่าช่างศิลป์ที่อู่ต่อเรือนี้น่าจะเคยศึกษาและเห็นรูปแบบของพระพิมพ์โบราณต่างๆในอดีตมาก่อนหน้าแล้ว จึงได้นำพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางประทับนั่งสมาธิบนฐาน3ชั้นในซุ้มเส้นหวายทรงระฆังคว่ำนี้มาออกแบบถวายท่านสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต รวมถึงพิมพ์อื่นๆเช่นพิมพ์พระซุ้มกอ พระรอด ฯลฯเพราะจากภาพประวัติพระพิมพ์ของท่านอาจารย์ จิตร นั้นพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักและพิมพ์ซุ้มกอนั้นจัดอยู่ในยุคเดียวกัน(ตามภาพรูปที่3)ด้านบน
ภาพด้านบนนี้เป็นภาพพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่มีความสูงมากกว่าความกว้างมีรายละเอียดพิมพ์เป็นพระพุทธรูปที่มีพระเกศเรียวแหลมสูงปางสมาธิประทับนั่งบนฐาน3ชั้นอยู่ภายในซุ้มเรือนแก้วทรงระฆังคว่ำหรือที่เรียกกันว่า “พิมพ์พระศาสดา” หรือ”พิมพ์พระสมเด็จกรุนาดูน” ที่เป็นยุคแรกของพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักของกรุนาดูน ซึ่งวิวัฒนาการและที่มาของรายละเอียดพิมพ์ต่างๆก่อนที่จะมาเป็นพิมพ์รูปแบบที่เห็นนี้นั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือที่มาของฐานทั้ง3ชั้นจะได้อธิบายให้ทราบในรายละเอียดต่อไป
ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการของฐานที่ประทับ3ชั้นของพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักกรุนาดูน
จากประวัติพระพิมพ์ของท่านอาจารย์ จิตร บัวบุศย์ จะพบว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับพระกรุนาดูนในยุคต้นนั้นจะคล้ายกันคือการออกแบบฐานของพระพิมพ์นั้นจะเริ่มจากฐานชั้นเดียวในปางประทับยืนซึ่งเป็นฐานบัว(ตามภาพด้านล่าง) ในรูปแบบพิมพ์ที่เป็นสี่เหลี่ยมชิ้นฟัก
ส่วนในปางประทับนั่งในยุคต้นของกรุนาดูนนั้นรูปแบบพิมพ์ก็จะเป็นแบบสี่เหลี่ยมชิ้นฟักเช่นเดียวกันส่วนการออกแบบฐานก็จะเป็นบัลลังก์ ยังไม่พบเห็นที่เป็นฐานที่แบ่งเป็นชั้นๆ(ตามภาพรูปด้านล่าง)
จากภาพที่นำมาแสดงด้านบนทั้งหมดจะเห็นได้ว่าในยุคเริ่มต้นของพระพิมพ์กรุนาดูนนั้นการออกแบบฐานที่ประทับนั้นจะเริ่มจากเป็นฐานชั้นเดียวหรือเป็นบัลลังก์ก่อน จากนั้นจึงพัฒนาเริ่มมีฐานหลายชั้นโดนชั้นต่างๆของฐานนั้นเริ่มเกิดจากขนดลำตัวของพญานาคก่อน โดยเริ่มจากฐานหลายชั้นที่ยังไม่แบ่งเป็นชั้นให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วจึงพัฒนาเป็นชั้นแบ่งแยกชั้นให้ชัดเจนมากขึ้นแต่จำนวนชั้นก็จะมีไม่มากกว่า3ชั้นในทุกๆแบบพิมพ์ จากการสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปะ ท่านอธิบายว่าถ้ามองในด้านของศิลปะน่าจะเพราะความลงตัวและสวยงามสมส่วนในองค์ประกอบของพิมพ์ แต่จะมีนัยทางคติของศานาแอบแฝงเพิ่มเติมหรือไม่ก็ยากที่คาดคะเนได้
เมื่อเราทราบวิวัฒนาการของฐานที่ประทับเรียบร้อยแล้ว ลองมาพิจารณาเฉพาะเจาะจงลงไปที่พระพิมพ์สมเด็จหรือพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางนั่งสมาธิบนฐาน3ชั้นอยู่ในเส้นซุ้มครอบแก้วของกรุนาดูนในยุคต่างๆโดยละเอียด โดยเริ่มต้นจากพระพิมพ์สมเด็จกรุนาดูนองค์แรก(รูปที่8)และอีก4องค์ที่ได้นำมาศึกษาในภายหลัง(รูปที่8.1) จะพบว่าในตอนแรกนั้นองค์พระพิมพ์ทั้งหมดที่ถูกขุดพบนั้นถูกหุ้มด้วยไขสัตว์โบราณจนไม่สามารถเห็นรายละเอียดใดๆในองค์พระ จากนั้นจึงได้เริ่มนำไขที่หุ้มไว้ออกโดยการใช้เข็มฉีดยาขนาดใหญ่ขูดออกที่ละน้อยจนถึงเนื้อพระ ในขณะที่ใช้เข็มขูดนั้นเนื้อพระนั้นยังคงสภาพเดิมไม่สึกกร่อนและรายละเอียดต่างๆยังคงชัดเจนให้เห็นตามรูปภาพที่ปรากฏ เพราะเนื่องจากคุณสมบัติที่สำคัญประการแรกของพระกรุนาดูนแท้ๆนั้นสภาพของเนื้อดินเผาจะแกร่งมากจนสภาพของเนื้อดินนั้นมีลักษณะแข็งและแกร่งมากคล้ายกับเนื้อหิน ภาพต่อมาจะพบว่าเมื่อนำไขออกจนหมดแล้วก็จะพบว่าในรายละเอียดของพิมพ์นั้นฐานทั้ง3ชั้นจะมีลักษณะคล้ายขนดลำตัวของพญานาค(รูปที่9)เพราะจากภาพจะเห็นว่าบริเวณที่เป็นฐานทั้ง3ชั้นนั้นจะไม่เรียบเป็นเส้นตรงแต่จะเป็นเส้นริ้วเล็กๆคล้ายกับลำตัวของพญานาคและที่ฐานชั้นล่างสุดทั้ง2ด้านจะเห็นเส้นกลมใหญ่คล้ายลำตัวพญานาคพันรอบเส้นซุ้มครอบแก้วทั้ง2ด้านจากด้านล่างขึ้นไปบริเวณด้านบนจนถึงด้านข้างของเศียรพระประธานที่ประทับนั่งอยู่และที่ผนังคูหาทั้ง2ข้างของเศียรพระประธานก็เห็นเป็นลักษณะคล้ายเศียรของพญานาคปรากฏให้อยู่ แต่ในยุคต่อมารายละเอียดของพิมพ์ในส่วนที่เป็นฐานที่เกิดจากลำตัวพญานาคและเส้นลำตัวที่พันรอบเส้นซุ้มครอบแก้วและส่วนที่คล้ายกับเศียรนาคที่ผนังคูหานั้นจะไม่มีปรากฏให้เห็นอีก จะพบเห็นเป็นเพียงพระประธานปางสมาธิประทับนั่งบนฐานเรียบตรง3ชั้นในซุ้มเส้นหวายทรงระฆังคว่ำเท่านั้น(รูปที่9)
จากรูปที่ 9 รูปองค์พระสมเด็จองค์เดี่ยวที่อยู่ด้านบนสุดนั้นจะปรากฏให้เห็นฐานที่เป็นขนดลำตัวและส่วนของลำตัวที่พันรอบเส้นซุ้มทั้ง2ด้านขึ้นไปด้านบนและส่วนของเศียรพญานาคที่ปรากฏอยู่ที่พื้นผนังคูหาด้านข้างเศียรพระประธานทั้ง2ด้าน เมื่อเปรียบเทียบกับภาพพระสมเด็จอีก3องค์ด้านล่างจะไม่มีปรากฏรายละเอียดของนาคให้เห็นอีกในพระสมเด็จในรุ่นต่อๆมาทั้ง3แบบ
จากข้อมูลเหล่านี้น่าจะสรุป0ได้ว่าฐานที่ประทับในพระพิมพ์สมเด็จนั้นในเบื้องต้นน่าจะเกิดจากขนดลำตัวของนาคก่อนแล้วจึงค่อยๆปรับเปลี่ยนไปเหลือเพียงฐานเรียบ3ชั้นแบบธรรมดาเหมือนกับที่เราได้พบเห็นในพระพิมพ์สมเด็จในปัจจุบันนี้
ต้นกำเนิดและวิวัฒนาการการสร้างพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟัก(พระสมเด็จ)
จากภาพด้านบนจะเห็นว่าพระสมเด็จกรุนาดูนในยุคแรกนั้นลักษณะของฐานทั้ง3ชั้นจะไม่เรียบตรงเหมือนฐานพระสมเด็จในยุคปัจจุบัน แต่จะมีลักษณะขอบของฐานเป็นริ้วคล้ายลำตัวพญานาค(ลูกศรชี้) และด้านข้างของฐานชั้นล่างทั้ง2ด้านจะมีลักษณะคล้ายเส้นกลมๆคล้ายลำตัวของพญานาคพันรอบเส้นซุ้มขึ้นไปด้านบนจนถึงเศียร และที่ผนังคูหารอบๆเศียรพระประธานจะพบลักษณะคล้าเศียรของนาค ในจุดนี้ทำให้สัณนิษฐานได้ว่าฐานของพระประธานในพิมพ์สมาธิหรือพระสมเด็จนั้นในเบื้องต้นช่างที่สร้างน่าจะเจตนาให้เป็นขนดลำตัวของพญานาคที่รองรับพระพุทธเจ้าขณะเสวยวิมุติสุขในสัปดาห์ที่6หลังจากที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใต้ต้นมุจลินท์(ต้นจิก) หลังจากนั้นมาช่างรุ่นหลังๆที่มีการสร้างกันต่อๆกันมามิได้ใส่รายละเอียดของฐานและลำตัวนาคที่พันอยู่ที่เส้นซุ้มจึงมีเพียงพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้น มีพระประธานประทับนั่งสมาธิบนฐานเรียบ3ชั้นอยู่ภายในซุ้มครอบแก้วทรงระฆังคว่ำเท่านั้น ดังที่แสดงให้เห็นในรูปภาพต่างๆด้านล่าง
ในการสร้างพระพิมพ์กรุนาดูนพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักนี้จากประวัติที่มีการขุดพบที่ผมได้เก็บรวบรวมจากผู้อาวุโสโดยตรงนั้นมีหลายยุค หลายพิมพ์ หลายเนื้อและหลายขนาดด้วยกันซึ่งแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติและความหลากหลายในการสร้างที่ถูกส่งต่อกันมากว่า1000ปีก่อนที่อาณาจักรนครจำปาศรีโบราณจะล่มสลายในประมาณปีพ.ศ.1900 ซึ่งแบบพิมพ์ต่างๆล้วนมีความหลากหลายตามสภาพกรุที่เก็บและยุคสมัยที่สร้างซึ่งเป็นธรรมชาติของพระกรุแท้ ไม่ใช่พระโรงงานที่จะมีแบบพิมพ์เดียวและสภาพคราบกรุต่างๆก็จะเหมือนกันหมดตามภาพด้านล่าง
บทสรุปสุดท้ายที่ของวิวัฒนาการและการสร้างพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางสมาธิบนฐาน3ชั้นในเส้นซุ้มครอบแก้วทรงระฆังคว่ำหรือที่เรียกกันว่า”พิมพ์พระศาสดา” หรือ”พิมพ์พระสมเด็จ” ที่กระชับและเข้าใจได้ง่าย มีดังนี้
1.พระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางสมาธินี้เป็นพระพิมพ์ที่มีประวัติการสร้างมาแล้วตั้งแต่ยุคปาณทยะ-โจฬะ ของอินเดียโบราณหรือประมาณพ.ศ.1400-1900(อ้างอิงจากตำราของอ.จิตร บัวบุศย์)
2.พระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางสมาธินี้ได้มีการสร้างและถูกขุดพบที่กรุนาดูนซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอ นาดูน จังหวัด มหาสารในปัจจุบันหรือนครจำปาศรีในอดีต โดยในขณะนี้ท่านผู้อาวุโสที่เป็นผู้ขุดพบยังมีชีวิตอยู่ซึ่งท่านได้ให้สัมภาษณ์และข้อมูลต่างๆด้วยตัวเองกับข้าพเจ้ามาแล้วนับ10ครั้ง พร้อมทั้งได้พาข้าพเจ้าเข้าไปยังพื้นที่ที่ขุดพบมาแล้วหลายครั้ง โดยท่านผู้อาวุโสยังได้เรียกชื่อพระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักปางสมาธินี้ว่า”พระหัวแหลม” ทุกครั้งมาตลอดที่ให้ข้อมูลเพราะท่านไม่เคยรู้จักพระสมเด็จมาก่อน
3.การพิสูจน์ทราบอายุของพระกรุนาดูนที่ได้มีการขุดพบนี้ได้มีการตรวจสอบอายุโดยวิธิทางวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่าTheremoluminescence Dating แล้วเมื่อหลายปีก่อนที่ประเทศนิวซีแลนด์ซึ่งมีอายุกว่า1300ปีและที่ผมได้นำเครื่องปั้นดินเผากรุนาดูนไปหาอายุเพื่อเทียบเคียงกับอายุพระกรุนาดูนได้ที่1700ปี ทำให้พอประเมินอายุคร่าวๆของพระสมเด็จกรุนาดูนได้ว่าถูกสร้างมาแล้วไม่น้อยกว่าหลายร้อยปีซึ่งเมื่อนำมาเทียบเคียงพุทธศิลป์ตามตำราของอาจารย์ จิตร บัวบุศย์ ก็จะตรงกับ”ยุคสมัยสุโขทัย”นั่นเอง
4.ฐานที่เป็นที่ประทับของพระพิมพ์โบราณที่แบ่งเป็นชั้นๆนั้นสัณนิษฐานว่าเกิดขึ้นครั้งแรกจากขนดลำตัวของพญานาคในพิมพ์นาคปรกโบราณของฝ่ายอินเดียใต้ที่ค่อยๆพัฒนาจากฐานเตี้ยๆไม่แบ่งเป็นชั้นแบบชัดเจนมาเป็นฐานที่สูงขึ้นและเริ่มแบ่งชั้นอย่างชัดเจนเป็น3ชั้นที่พบเห็นในพิมพ์แบบลอยองค์
5.จากนั้นมีการพัฒนาจากพิมพ์ลอยองค์ที่มีฐาน3ชั้นมาเป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหลากหลายพิมพ์และหนึ่งในนั้นเป็นพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่มีรายละเอียดพิมพ์เป็นพระพุทธรูปประทับนั่งขัดสมาธิราบบนฐานนาคปรก3ชั้นมีลำตัวนาคพันเส้นซุ้มทั้งข้างและมีเศียรของนาคที่ผนังคูหาอยู่ในซุ้มเรือนแก้วรูปทรงระฆังคว่ำในเบื้องต้นก่อน
6.ต่อมามีการพัฒนาของฐานทั้ง3ชั้นของพิมพ์พระสมเด็จจากขนดลำตัวของพญานาคของพิมพ์นาคปรกมาเป็นฐานเรียบ3ชั้นโดยไม่มีส่วนที่เป็นขนดลำตัวและเศียรพญานาคให้พบเห็นอีกจนถึงในยุคหลังๆต่อมาของกรุนาดูน
7.พระสมเด็จของกรุนาดูนนั้นมีทั้งพิมพ์ที่ไม่มีเส้นซุ้มครอบแก้วที่ขอบพิมพ์ด้านล่างซึ่งรายละเอียดองค์พระประธานและฐานจะเป็นแบบยุคเก่าซึ่งจะมีความงดงามและอ่อนช้อยน้อยกว่าในพระพิมพ์ยุคหลังๆที่มีเส้นซุ้มครอบแก้วด้านล่างตามภาพด้านล่าง
จากข้อมูลที่ข้าพเจ้าได้ค้นคว้าและศึกษามาจากแหล่งต่างๆรวมถึงการที่ได้รวบรวมตัวอย่างพระกรุนาดูนพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักหรือที่เรียกว่า”พิมพ์พระสมเด็จ” ในยุคต่างๆ แล้วนำมาวิเคราะห์เปรียบเทียบทั้งประวัติที่มา อายุการสร้าง และพัฒนาการของฐาน3ชั้นของพระพิมพ์สมเด็จนี้ซึ่งบางท่านอาจจะไม่เคยได้พบเห็นข้อมูลที่ได้นำเสนอมานี้จากที่ใดมาก่อน ขอให้ท่านผู้อ่านช่วยวิเคราะห์และพิจารณาโดยละเอียดแล้วท่านจึงค่อยมาสรุปสุดท้ายด้วยตัวท่านเองว่า “พระพิมพ์สี่เหลี่ยมชิ้นฟักที่ด้านหน้ามีพระพุทธรูปที่มีพระเกศเรียวแหลมสูงประทับนั่งสมาธิบนฐาน3ชั้นอยู่ภายในซุ้มเส้นหวายรูปทรงระฆังคว่ำ พิมพ์ด้านหลังเรียบ” หรือที่เรียกกันว่า”พิมพ์พระศาสดา” ของกรุนาดูนหรือที่เรียกกันว่า”พิมพ์พระสมเด็จ” ในยุคปัจจุบันนี้นั้น ได้ถูกสร้างขึ้นมาก่อนแล้วเมื่อหลายร้อยปีก่อน(สมัยสุโขทัย)จริงหรือไม่ และน่าจะเป็นต้นแบบทางพุทธศิลป์สืบต่อเนื่องให้ช่างศิลป์ยุคต่อๆมาได้นำมาสร้างเป็นพิมพ์พระสมเด็จในยุค”พระสมเด็จอรหัง” และ”พระสมเด็จวัดระฆัง” นั้นมีความเป็นไปได้หรือไม่มากน้อยเพียงใด