Select Page

พระเนื้อว่าน พ.ศ.2497 หลวงปู่ทวดวัดช้างให้

หลักการพิจารณา พระเนื้อว่านหลวงปู่ทวด วัดช้างให้ ปีพ.ศ.2497 โดยมีข้อมูลและรายละเอียดพื้นฐานที่สำคัญที่ควรทราบไว้ดังนี้
– เกิดจากความร่วมมือของฝ่ายสงฆ์และฆราวาสที่เป็นกำลังสำคัญ ฝ่ายสงฆ์ได้แก่ พระอาจารย์ทิม เจ้าอาวาสวัดช้างให้ในขณะนั้น, พระอาจารย์นอง วัดทรายขาว ส่วนฝ่ายฆราวาสที่สำคัญได้แก่ คุณอนันต์ คณานุรักษ์ คหบดีเจ้าของเหมืองที่อยู่ที่ภาคใต้ ซึ่งเป็นที่มาในการนำแร่”กิมเซียว” มาเป็นมวลสารเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชนิด
– สามารถสร้างพระเนื้อว่านได้ถึงจำนวนหลายหมื่นองค์ (60,000 เศษ) อาจจะไม่ครบตามที่ตั้งเป้าไว้คือจำนวน 84,000 องค์ ตามจำนวนพระธรรมขันธ์ที่นิยมสร้างกันมาในอดีต
– เนื่องจากต้องการสร้างจำนวนมาก จึงต้องใช้พิมพ์และผู้กดพิมพ์จำนวนมากตามไปด้วย จึงต้องขยายแม่พิมพ์เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
– มวลสารหลักได้แก่
“ดินกากยายักษ์” เป็นดินที่พบเฉพาะที่ ตำำบลลำพระยา อ.เมือง จ.ยะลา คุณสมบัติเป็นดินละเอียดสีดำสนิท เมื่อถูกแสงจะมีความแวววาว ซี่งมีความเชื่อกันในอดีตว่าเป็นดินศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยรักษาโรคและปัองกันคุณไสย,มนตร์ดำได้
– มวลสารรองต่างๆ ได้แก่
“ว่านชนิดต่างๆหลายอย่าง(ว่าน108)”ส่วนมวลสารอื่นๆที่นำมาผสมรวมอีกชนิดหนึ่งคือ “แร่กิมเซียว”(ซึ่งหมายถึง”ทองอ่อน”หรือ”ทองน้อย” เป็นแร่สีดำอมทอง) นำมาบดเป็นเม็ดขนาดเล็กผสมรวมกันหรือส่วนหนึ่งนำมากดติดไว้ที่ด้านหลังองค์พระ
– พระพิมพ์แบบต่างๆที่เป็นเนื้อว่านที่มีประวัติการจัดสร้างไว้ในปีพ.ศ.2497 ได้แก่
1.พระบูชาลอยองค์รูปหลวงปู่ทวด(มีการสร้างและพบน้อยมากที่สุด)
2.พิมพ์สี่เหลี่ยมกลัก(กล่อง)ไม้ขีด
3.พิมพ์ใหญ่กรรมการ
4.พิมพ์ใหญ่หัวมีขีด,ไหล่มีจุด
5.พิมพ์ใหญ่ลึก
6.พิมพ์ใหญ่บัวขีด
7.พิมพ์ต้อ,พิมพ์กลางและพิมพ์พระรอด
– แม่พิมพ์สร้างจาก “ขี้ครั่งพุทรา” ที่มีลักษณะเหนียวเป็นยางสีดำแดง และเนื่องจากแม่พิมพ์ลักษณะแบบนี้ไม่ค่อยมีความแข็งแรงทนทานมากนัก ดังนั้นเมื่อใช้งานไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะเริ่มเกิดรอยสึกหรือรอยปริแยกในแม่พิมพ์ ส่งผลให้ในพิมพ์เดียวกันจะมีตำหนิที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อยได้หลายๆแบบ เช่นพิมพ์หัว(หู)ขีด,พิมพ์ไหล่จุด,พิมพ์ลึก แต่ในภาพรวมของรายละเอียดหลักๆของพิมพ์นั้นยังคงเหมือนกันทุกประการ ซึ่งทำให้พิจารณาได้ไม่ยากมากนัก
– การสร้างจะเป็นพระกดพิมพ์ด้วยมือจากทางด้านหลัง โดยจะมีแม่พิมพ์เฉพาะด้านหน้า ด้านหลังจึงมักปรากฏรอยนิ้วมือให้เห็นเกือบทุกองค์ มากน้อยต่างกันไป
– รายละเอียดพิมพ์
1.ศรีษะของหลวงปู่จะโหนกนูนมาด้านหน้ามากและเห็นชัดเจนขึ้นถ้ามองจากด้านข้าง
2.องค์ที่ติดชัดจะเห็นร่องรอยย่นที่หน้าผาก(พิมพ์กรรมการ),ร่องไหปลาร้าที่ไหล่ขวา
3.ใบหูซ้ายจะแนบติดกับศรีษะมากกว่าด้านขวา จนบางครั้งเกือบมองไม่เห็น
4.ในองค์ที่ติดชัดปากจะได้รูปชัดเจน คล้ายกับพิมพ์หลังเตารีด
5.เส้นริ้วจีวรด้านซ้ายจะติดชัดกว่าด้านขวา โดยใช้ในการแยกพิมพ์กรรมการ
6.ที่ฐานบัว จะติดชัดมีมิติ โดยกลีบบัวด้านบนจะสวยงดงามเป็นรูป 3เหลี่ยม ส่วนด้านล่างจะค่อนข้างเป็นรูป 4เหลี่ยมมากกว่า
– ด้านข้างที่ขอบจะเห็นรอยกรอบแม่พิมพ์อยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งเสมอ ให้พิจารณาประกอบทุกครั้งเพราะเป็นธรรมชาติของการสร้าง
– ให้พิจารณาพื้นรอบๆจากขอบด้านข้าง จะเทลาดเอียงเข้าชิดด้านข้างของหลวงปู่เกิดเป็นแอ่งตื้น ซึ่งเกิดจากการแกะแม่พิมพ์ ดังนั้นถ้าพระเกิดจากการกดพิมพ์ของแท้ จะต้องปรากฏแอ่งตื้นๆนี้ โดยรอบองค์หลวงปู่เสมอ
– ด้านหลังส่วนใหญ่จะเป็นหลังนูน ซึ่งจะนูนมากหรือน้อยต่างกันไปส่วนหลังเรียบจะพบน้อยมาก
– เมื่อมองด้านข้าง จะพบว่ารูปทรงจะมีความโค้งทุกองค์โยเฉพาะที่ปลายด้านบน โดยจะโค้งมากน้อยต่างกันไป ” ในองค์ที่ด้านช้างตรง,ดูแข็ง,ไม่มีความโค้งให้เห็นเลย แสดงว่าวิธีและขั้นตอนการสร้างผิดธรรมชาติและรูปแบบ”
– ด้านใต้ฐานจะต้องพบรูขนาดเล็กเป็นรูป 4 เหลี่ยมผืนผ้าทุกองค์ บางองค์ขอบช่อง4เหลี่ยมเรียบปกติ,บางองค์ขอบจะกว้างหรือบานออกบ้างจากการงัดที่น้ำหนักมือต่างกันไป ซึ่งเกิดจากการงัดองค์พระออกจากแม่พิมพ์ ส่วนความลึกของช่อง4เหลี่ยมนี้นั้น ปกติจะลึกขึ้นไปด้านบนประมาณครึ่งองค์ จึงจะไม่ทำให้องค์พระเสียหายขณะที่งัดออกจากแม่พิมพ์ ของปลอมจะทำรูหลอกตื้นๆ รูปทรงของรูแคบๆบ้าง,ไม่เป็นรูป4เหลี่ยมบ้าง ซึ่งดูไม่เป็นธรรมชาติ
– “พิมพ์กรรมการ”จะมีเอกลักษณ์พิเศษคือ
1.รายละเอียดพิมพ์มีความลึกชัดกว่าพิมพ์อื่นๆ จุดที่ให้สังเกตเช่น
– ร่องที่หน้าผากชัด
– ร่องลึกเป็้นขีดที่ข้างแก้มทั้ง 2ข้าง
– รูปปากจะติดชัดเจนทั้งริมฝีปากบนและล่าง
– ร่องไหปลาร้า ที่ไหล่ด้านขวาของค์หลวงปู่
– รอยลึก,ชัด ของเส้นพับจีวรที่ต้นแขนซ้ายลงมาที่แขนท่อนล่างขององค์หลวงปู่
2. เนื้อพระจะมีสีดำมากกว่าเนื่องจากผสมดินกากยายักษ์มากกว่าว่าน
– ลักษณะภายทางกายภาพของพระเนื้อว่านปี 2497
1.เมื่อมองด้วยตาเปล่าจะเห็นความแตกต่างกัน ในเรื่องของสีคือ
1.1 เห็นบางองค์เป็นสีเทาในบางองค์หรือสีเทาเข้มอมดำ ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนผสมหลักคือดินกากยายักษ์ว่ามากหรือน้อยเมื่อเทียบกับเนื้อว่าน
1.2 บางองค์เจ้าของเดิมมีการนำไปทารักบ้าง, จุ่มรักบ้าง ทาน้ำว่านบ้าง เพื่อต้องการรักษาสภาพเนื้อพระไว้ไม่ให้ชำรุดเสียหาย ทำให้เห็นสภาพผิวภายนอกที่ต่างไปจากเนื้อว่านปกติ คือ
– ผิวนอกเป็นสีน้ำตาลอมดำในองค์ที่ทารักไว้บางๆ
– ผิวนอกเป็นสีเนื้อรักคือดำอมน้ำตาลหรืออมแดงเลือดนก บางจุดที่รักเปิดออกจะเห็นเนื้อว่าน,เม็ดแร่กิมเซียวที่อยู่ด้านใน
1.3 เห็นสีขาวขุ่นของน้ำว่าน ลักษณะของน้ำว่านคล้ายยางมังคุด ที่เกิดจากการคายตัวของของเหลวในเนื้อว่าน ที่เป็นมวลสารในเนื้อพระ คราบน้ำว่านจะมีหลายรูปแบบเช่นเป็นจุดหรือเม็ดขนาดเล็กสีขาวขุ่นอมเหลือง,เป็นปื้นหรือแผ่นหรือเป็นเส้นให้เห็นโดยไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน ให้พิจารณาแยกจากของปลอม ที่พบว่าน้ำว่านสีขาวไม่มีสีอมเหลือง หรือเป็แค่ผงสีขาวปิดทับอยู่ที่ผิวนอก ไม่ได้เกิดจากเนื้อในขององค์พระ
1.4 เมื่อมองด้านหลังองค์พระ จะเห็นลายนิ้วมือเกือบทุกองค์มากน้อยต่างกันไป นอกจากนั้นจะเห็นแอ่งหรือหลุมขนาดเล็กที่เม็ดแร่หรือก้อนของอินทรีย์สารหลุดดออกไปเป็นธรรมชาติ
2.เมื่อขยายส่องด้วยกล้องขยาย
2.1ความหนาแน่นของเนื้อว่านนั้นจะน้อยคือจะมีช่องว่างที่เกิดจากการหดตัวของมวลสาร
ของปลอมเนื้อพระจะละเอียดเนื้อแน่นและสีเนื้อดูสดใหม่รวมถึวน้ำว่านปลอมที่ดูใหม่
2.2จะพบเม็ดของเนื้อดินกากยายักษ์วาวแวว,เศษอินทรีย์สารของเนื้อว่านชนิดต่างๆเช่นเศษเสี้ยนไม้เทพทาโรที่เป็นไม้พื้นเมืองของภาคใต้หรือพบเห็นเม็ดขนาดเล็กสีต่างๆเช่น,ใส ขาว,ดำ,น้ำตาลอมแดง
มีบางข้อมูลบอกว่า”พระเนื้อว่านปี2497 ของแท้จะต้องพบก้อนอิฐแดง(พระซุ้มกอ)และก้อนขาวของ(พระสมเด็จ)ในทุกองค์นั้น น่าจะเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อน และไม่เป็นความจริง เพราะการสร้างเป็นพระเนื้อว่าน108 มีมวลสารหลักคือดินกากยายักษ์มวลสารรองต่างๆล้วนแต่เป็นวัตถุดิบของในพื้นที่ภาคใต้เป็นหลัก การที่สร้างพระหลายหมื่นองค์และจะพบชิ้นส่วนพระซุ้มกอและพระสมเด็จทุกองค์จึงไม่น่าจะเป็นไปได้
2.3 พบก้อนแร่ขนาดเล็กสีดำเหลือบสีเหลืองทองเวลาที่โดนแสงตกกระทบในบางมุม ซึ่งเป็นเม็ดแร่ที่เรียกกันว่า”แร่กิมเซียว”ซึ่งหมายถึง”ทองอ่อน”หรือ”ทองน้อย”
หลักการพิจารณาที่ถูกต้องและครบถ้วนของพระเนื้อว่าน ของวัดช้างให้ปี 2497 จึงต้องครบทั้ง 3องค์ประกอบหลักครบทั้ง 100% คือ
1.อายุความเก่าถูกต้องมีสัดส่วน 30%
2.พิมพ์(20%])และวิธีการสร้าง(20%)ถูกต้องรวมสัดส่วน40%
3.วัสดุมวลสารที่ใช้สร้างถูกต้องมีสัดส่วน 30%
ท่านสามารถศึกษาพระเครื่องหมวดต่างๆเพิ่มเติมของ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”แหล่งรวบรวมข้อมูลและสะสมพระพุทธรูป,พระบูชา,พระเครื่องทุกหมวดหมู่และเครื่องรางของขลังแบบต่างๆที่หาชมยากและมากที่สุดของเมืองไทย ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทาน โดยไม่มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือการพาณิชย์ใดๆมาแอบแฝง ได้ที่ช่องทาง
-เว็บไซต์​ www.puttharugsa.com
-เฟสบุ๊คเพจ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา
-ช่องยูทูป” พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”