พระเบญจภาคีเนื้อชิน”พระท่ากระดาน” จ.กาญจนบุร
“พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา” ขอนำ “พระท่ากระดาน” จังหวัดกาญจนบุรี อายุราว 600-700ปี ซึ่งเป็น 1ในพระเบญจภาคีเนื้อชินของเมืองไทย มาให้ท่านสมาชิกได้ศึกษาพิจารณาเป็นลำดับสุดท้าย หลังจากได้นำ 4อันดับแรกมาให้ชมไปแล้วก่อนหน้านี้
พระท่ากระดานมีการค้นพบครั้งแรกที่ จ.กาญจนบุรี ชื่อ “พระท่ากระดาน” ตั้งขึ้นตามชื่อวัดท่ากระดาน ที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของ“เมืองท่ากระดาน” ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่เมืองเดียวริมลำน้ำแควใหญ่เป็นวัดเก่าแก่และสำคัญ 1ใน 3วัดที่มีความสำคัญในสมัยกรุงศรีอยุธยาเคียงคู่กับเมืองกาญจนบุรีเก่าและเมืองไทรโยค คือเป็นเมืองหน้าด่านที่ต้องสู้รบกับกองทัพพม่าที่เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ปัจจุบันเป็นตำบลหนึ่งของ อำเภอศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี
ในปี พ.ศ.2495 ได้มีการขุดพบพระพิมพ์เนื้อชินตะกั่วสนิมแดงและบางองค์มีการปิดทองมาแต่เดิมในกรุ กอปรกับบริเวณที่ขุดพบนี้อยู่ในบริเวณของวัดที่อยู่ตอนกลางคือวัดท่ากระดานเก่าพอดี จึงเรียกขานพระพิมพ์นี้ว่า “พระท่ากระดาน” และเนื่องด้วยอยู่ในเขตอำเภอศรีสวัสดิ์ จึงเป็นที่มาของชื่อ “พระท่ากระดาน กรุศรีสวัสดิ์” นั่นเองและบริเวณใกล้เคียงกันก็ได้มีการขุดพบพระพิมพ์เดียวกันที่หน้าถ้้ำลั่นทมจึงตั้งชื่อเรียกกันว่า”กรุถ้ำลั่นทม”
พระท่ากระดานเป็นพระที่สร้างในสมัยอู่ทอง ในราวปี พ.ศ.1800 – 2031 เป็นพระเนื้อชินตะกั่วสนิมแดง แบบพิมพ์ด้านหน้าด้านเดียวที่มีรายละเอียดคม,ลึก,ชัดเจน ส่วนด้านหลังแบนราบ องค์พระประธานประทับนั่งปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ มีสังฆาฏิหนาและยาวลงมาถึงหน้าตัก มีฐานหนาชั้นเดียว พระพักตร์ปรากฏรายละเอียดของพระขนง (คิ้ว), พระเนตร (ตา),พระกรรณ(หู) พระนาสิก(จมูก) และพระโอษฐ์(ปาก) ที่ลึกและมีมิติชัดเจน พระหนุ(คาง)แหลม พระเกศพบทั้งแบบยาวและพระเกศแบบสั้น องค์พระถูกวางซ้อนทับถมกันอยู่ในกรุที่มีอุณภูมิสูงต่ำสลับกันประกอบกับความชื้นในกรุ ทำให้พระบางองค์อาจชำรุดหรือบิดงอ เกิดสนิม,คราบกรุ,ไขและตะกอนปูน ส่วนรูปร่างหรือส่วนประกอบที่บอบบางขององค์พระบางองค์เช่นพระเกศของพระท่ากระดานจึงมีการโค้ง,บิดงอหรือหักได้ สำหรับลักษณะพิมพ์ที่พบมีหลากหลาย เช่น พระเกศตรงยาว เรียกว่า “เกศตรง” ส่วนที่บิดงอคดไปคดมา เรียก “เกศคด” หรือบางองค์มีพระเกศสั้นก็เรียกว่า”เกศสั้น”หรือ “เกศบัวตูม” พระท่ากระดานเป็นพระชินประเภท”ชินตะกั่ว” เมื่อเวลาผ่านมาหลายร้อยปีจึงเกิด “สนิมแดง” นอกจากนั้นยังพบเนื้อ”ชินเงิน”ที่มีเนื้อสีเงินยวงซึ่งพบได้น้อยมากนอกจากนั้นยังพบไขสีขาวของเนื้อชินที่เรียกว่า “สนิมไข”ด้วย สนิมแดงและสนิมไขนี้จะขึ้นปกคลุมองค์พระอยู่อย่างหนาแน่น หรือในบางองค์ที่แก่ชินอาจเกิดเป็นเกล็ดกระดี่แซมไขขาวให้เห็น ในพระกรุสภาพเดิมๆยังสามารถพบคราบกรุที่เป็นคราบปูนหรือแคลเซียมด้วย พระท่ากระดานส่วนใหญ่มีการลงรักปิดทองเก่ามาแต่ดั้งเดิมในกรุ
ในสมัยก่อนมักเรียกกันว่า “พระเกศบิดตาแดง” เนื่องด้วยพระท่ากระดานนั้นบางองค์จะมีสนิมแดงเห็นเด่นชัดโดยเฉพาะที่พระเนตร(ตา)และพระเกศบิดคดงอไม่ตั้งตรงนั่นเอง แต่ไม่ใช่พิมพ์มาตรฐานแบบเดียวที่พบ เเต่เป็นเพียงลักษณะเฉพาะที่คนสังเกตและจดจำได้ง่ายเท่านั้น
พระกรุท่ากระดานมีการขุดพบในพื้นที่ข้างเคียงอีกหลายกรุเช่นกันแต่มีจำนวนไม่มากนัก อาทิวัดบ้านนาสวน (วัดต้นโพธิ์), วัดศรีอุปลาราม (วัดหนองบัว), วัดเทวสังฆาราม, วัดท่าเสา, บริเวณ ต.ลาดหญ้าใกล้ค่ายทหารกองพลฯ และบริเวณถ้ำในเขตอำเภอทองผาภูมิ ซึ่งแต่ละที่มีจำนวนพระไม่มากนัก ในวงการนักนิยมสะสมพระเครื่องจึงแบ่งแยกพระท่ากระดานออกเป็น 2 กรุ คือ “พระกรุเก่า” เป็นพระที่ค้นพบที่กรุศรีสวัสดิ์ และกรุถ้ำลั่นทม ส่วนพระที่พบในบริเวณนอกเหนือจากนี้จะเรียกว่า “พระกรุใหม่”
***การพิจารณาพระท่ากระดานแท้ใน 3องค์ประกอบหลักคือ***
1.พิมพ์และวิธีการสร้างถูกต้อง
-พิมพ์ด้านหน้า
พิจารณาพิมพ์ที่ต้องมีรายละเอียดที่คม,ชัด,ลึก มีมิติแม้ว่าจะมีสนิมปิดอยู่ก็ตาม
-พิมพ์ด้านหลัง
จะเรียบให้พิจารณาเนื้อชินและสนิม,ไขและ คราบกรุ และมีจุดสังเกตสำคัญคือจะมี”แอ่งตื้นๆ” บริเวณด้านล่างให้เห็นทุกองค์
-พิจารณาการสร้าง
เป็นแบบพระหล่อด้วยแม่พิมพ์ลึกชัดด้านด้าน,ขอบด้านข้างจะคมบางและด้านหลังเรียบ ดังนั้นรายละเอียด,พุทธศิลป์,มิติต่างๆต้องดูแล้ว”นิ่มตา”
“ของปลอม”
-ด้านหน้าพิมพ์ไม่นิ่มตา,เบลอไม่มีมิติ
-ดัานหลังเรียบหมดไม่มีแอ่งตื้นๆด้านล่างให้เห็น
2.วัสดุที่ใช้สร้างถูกตัอง
-พระสร้างจากเนื้อโลหะชินที่มีดีบุกและตะกั่วเป็นส่วนผสมหลัก
-ชินเงิน(มีดีบุกมากกว่าตะกั่ว)จะพบเนื้อแบบเงินยวงอมดำและมีไขขาว(พบน้อยมาก)
-เนื้อชินตะกั่ว(มีตะกั่วมากกว่าดีบุก)จึงทำให้เกิด”สนิมแดง”ให้เห็นชัด (พบเป็นส่วนใหญ่แทบทั้งหมดของพระท่ากระดาน)
เมื่อเวลาผ่านมาหลายร้อยปีโลหะจะทำฏิกิริยากับอ็อกซิเจนและความชื้นภายในกรุทำให้เกิดมีสนิมไขสีขาวคราบกรุ,คราบปูน ซึ่งเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นของพระกรุเก่าที่ต้องมีให้เห็นในการพิจารณาเสมอ
ส่วน”พระปลอม”นั้นเนื้อชิน,สนิมแดง,ไขขาวจะดูไม่เหมือนของแท้
3.อายุความเก่าถูกต้อง
-พิจรณาความเก่าจากสนิมไข,สนิมแดง การเกิดสนิมจะหนา,บางไม่เท่สกันดูเป็นธรรมชาติ ส่วน”พระปลอม”นั้นสนิมแดง,ไขจะไม่มีหรือถ้ามีให้เห็นสนิมหนาเท่ากันจะไม่เป็นธรรมชาติสีสนิมจะสดใหม่,ไขจะเป็นฝุ่นผงแห้ง,ไม่มีคราบกรุ องค์พระภายนอกจะดูใหม่
ท่านสามารถศึกษาพระเครื่องหมวดต่างๆเพิ่มเติมของ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”แหล่งรวบรวมข้อมูลและสะสมพระพุทธรูป,พระบูชา,พระเครื่องทุกหมวดหมู่และเครื่องรางของขลังแบบต่างๆที่หาชมยากและมากที่สุดของเมืองไทย ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทาน โดยไม่มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือการพาณิชย์ใดๆมาแอบแฝง ได้ที่ช่องทาง
-เว็บไซต์ www.puttharugsa.com
-เฟสบุ๊คเพจ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา
-ช่องยูทูป” พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”