เขี้ยวเสือแกะสลัก หลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย จ.สมุทรปราการ
“พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา” ขอนำ “เขี้ยวเสือของหลวงพ่อปาน วัดบางเหี้ย” ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องรางประเภทเขี้ยวสัตว์แกะสลัก ที่เป็นที่ต้องการและมีมูลค่าความนิยมที่สุดสูงตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน
หลวงพ่อปาน อคฺคปญฺโญ หรือพระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ อดีตเจ้าอาวาสวัด ”มงคลโคธาวาส”หรือ”วัดคลองด่าน” แต่คนทั่วไปในสมัยนั้นมักจะเรียกกันในชื่อ “วัดบางเหี้ย” เพราะในสมัยนั้นบริเวณดังกล่าวเป็นสถานที่ที่มีตัวเงินตัวทองอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากอยู่ในเขตน้ำกร่อยของ ตำบลคลองด่าน จังหวัดสมุทรปราการ อีกประ การหนึ่งที่พบเจอบ่อยคือมักจะมีการจำชื่อของท่านสับสนกับหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.อยุธยา อยู่เป็นประจำ เพราะว่ามีชื่อที่เหมือนกันและมีช่วงอายุขัยที่คาบเกี่ยวกัน ช่วงอายุของท่านอยู่ระหว่างพ.ศ. 2370-2453 ซึ่งมากกว่า 100 ปี
เอกลักษณ์เขี้ยวเสือของหลวงพ่อปานนั้นจะมีรูปแบบพิมพ์ทั้งที่เป็น”เสือแกะเต็มเขี้ยว”, “เสือแกะเขี้ยวซีก(ส่วนหนึ่งของเขี้ยว)” และเสือที่แกะจากปลายเขี้ยวที่มีขนาดเล็กมากเรียกว่า”เขี้ยวสาลิกา” นอกจากนั้นยังมีรูปแบบทั้งที่แกะสลักเป็นเสือต้วเดียวและเสือ 2ตัว(มีน้อยมาก) ส่วนรายละเอียดของการแกะสลักนั้นจะมีเอกลักษณ์เฉพาะตามคำกล่าวที่ว่า ”เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า(เขี้ยวต้องกลวง) หน้าแมว หูหนู ยันต์กอหญ้า ตาลูกเต๋า” โดยมีข้อมูลสำคัญที่ควรรับทราบไว้เบื้องต้นคือ
– การแกะสลักจะมีช่างที่ช่วยแกะสลักอยู่ประมาณ 5คน ดังนั้นรายละเอียดความสมบูรณ์ของงานจึงไม่ได้เป็นแบบมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด
– ส่วนการจารอักขระต่างๆลงบนเขี้ยวนั้น หลวงพ่อปานจะจารด้วยตัวของท่านเองทุกองค์ เปรียบเหมือนกับเป็นการเขียนด้วยลายมือกำกับไว้ ซึ่งรายละเอียดการจารนี้สามารถนำไปใช้ในการแยกจากเขี้ยวที่ทำเลียนแบบได้เป็นอย่างดี
-นิ้วเท้าที่ช่างแกะจะมีข้างละ4นิ้วรวมทั้ง4เท้าเป็น16นิ้วซึ่งเรียกว่ามี16โสฬสตามสูตรตัวเลขแห่งโชคลาภและความสำเร็จ
เขี้ยวเสือหลวงพ่อปานนั้น ท่านสามารถค้นหาประวัติและข้อมูลได้ทั่วไปและรวดเร็ว ตามสื่อออนไลน์ต่างๆในยุคนี้ ซึ่งประวัติก็จะเหมือนกันทุกสำนัก แต่ที่มีความสำคัญมากกว่าคือการนำภาพเขี้ยวมาประกอบให้ชมนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันไปตามที่แต่ละแหล่งจะนำมาลงให้ชม แต่ว่าจะถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใดนั้น ท่านสมาชิกจะต้องใช้
วิจารณญานอย่างรอบคอบด้วยการใช้หลักการในการพิจารณาที่ถูกต้องและครบถ้วนเสียก่อนจึงค่อยตัดสินใจ
ทางพิพิธภัณฑ์ฯได้นำภาพถ่ายของเขี้ยวแท้ทั้งหมดที่ได้ถูกเก็บรวบรวมไว้ทั้งสิ้นจำนวน 20 เขี้ยว ที่ผ่านการพิจารณาโดยละเอียดรอบคอบแล้ว จากนั้นได้นำมาถ่ายภาพในหลายมุมมองเพื่อสะดวกในการพิจารณาเพื่อให้เพื่อนสมาชิกได้ชม
หลักในการพิจารณาเบื้องต้นของเขี้ยวแท้ก็ใช้หลักการเดียวกันกับการศึกษาพระเครื่องทุกชนิด คือ
1.มวลสารหรือวัสดุที่ใช้ทำ(30%)ถูกต้องหรือไม่นั่นคือพิจารณาว่าเป็นเขี้ยวเสือจริงหรือไม่
2.การพิจารณาพิมพ์(20%) เเละวิธีการสร้าง(20%) คือพิจารณารายละเอียดของพิมพ์ เช่น”หน้าแมว หูหนู ตาลูกเต๋า ยันต์กอหญ้า” ตำแหน่งการจาร และลักษณะตัวอักษรที่จารถูกต้องหรือไม่ การแกะถูกต้องตรงยุคหรือไม่เช่นเป็นการแกะด้วยมือ ไม่ได้ใช้เครื่องกลึงช่วย
3.อายุความเก่า(30%) ของเขี้ยวเสือเก่าสมอายุหรือไม่
ถ้ามีครบทั้ง3ข้อ (100%)จึงจะสามารถสรุปได้ชัดเจนว่าเป็นของแท้
การพิจารณาลงในรายละเอียดของแต่ละหัวข้อในหลักการพิจารณาเขี้ยวแท้ มีดังนี้
1.การพิจารณามวลสารหรือวัสดุที่ใช้สร้างซึ่งก็คือ”เขี้ยวเสือ” ว่าเป็นของแท้หรือไม่ เบื้องต้นต้องมีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของเขี้ยวเสือเสียก่อนว่า “เขี้ยวเสือ” คือส่วนที่เป็นฟัน จะต้องประกอบด้วยเนื้อฟันที่อยู่ด้านในและตัวเคลือบฟันที่อยู่ด้านนอกเช่นเดียวกับฟันของมนุษย์ที่ต้องมีความมันวาว แต่เขี้ยวเสือนั้นจะมีความพิเศษกว่าเพราะเป็นสัตว์กินเนื้อที่ต้องใช้ฟันหรือเขี้ยวเป็นอาวุธในการสังหารเหยื่อ ดังนั้นเขี้ยวของเสือจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษทั้งในเรื่องความแข็งแรง ความยาวและความแหลมคม ซึ่งความหนาของเขี้ยวนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้เพิ่มความแข็งแรงเพื่อใช้สังหารและลากเหยื่อ ความหนาของเขี้ยวนั้นจะนำไปใช้ในการแยกชนิดของเขี้ยวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย คุณสมบัติอีกประการของเขี้ยวเสือคือจะต้องมีความแกร่งและทนต่อความร้อนได้ดี โดยสามารถทนต่อการทดสอบได้ด้วยการลนไฟได้ ซึ่งนำไปใช้ในการทดสอบความแตกต่างของเขี้ยวเสือแท้กับเรซินหรือพลาสติกหล่อ หลังจากนั้นควรทราบลักษณะทางกายภาพของเขี้ยวสัตว์แต่ละชนิดที่คล้ายกับเขี้ยวเสือเพื่อเปรียบเทียบกันให้เห็นภาพและจดจำความแตกต่างที่ชัดเจนเหล่านี้ไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เวลาที่ไปพบกับเขี้ยวสัตว์ในสนามหรือสถานที่ต่างๆที่เราได้ไปพบ จะได้นำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ได้ เพราะจุดนี้ถือว่าเป็นด่านแรกที่สำคัญที่สุดเพราะถ้าเราพิสูจน์ได้ก่อนว่าไม่ใช่เขี้ยวเสือก็ไม่ต้องไปตรวจสอบส่วนประกอบอื่นๆที่เหลือเช่นพิมพ์,การจาร
เขี้ยวสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกับเขี้ยวเสือที่มักพบเจอในตลาดซื้อขายและทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้มีอยู่2ชนิดคือ”เขี้ยวหมี” และ”เขี้ยวอูฐ” ซึ่งเบื้องต้นเราต้องแยกให้ออกระหว่างเขี้ยวทั้ง 2 จากการพิจารณาดูจากรูปร่างภายนอกของเขี้ยวที่ต่างกันโดยเขี้ยวเสือรูปทรงจะชลูดยาว มีความหนาเกือบเสมอกันแต่เขี้ยวหมีจะอ้วนป้อมและโค้งเว้าที่ปลายเขี้ยวมากกว่าและอีกประการหนึ่งคือการดูที่ตำแหน่งของร่องเส้นเลือดที่จะอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันโดยเขี้ยวเสือร่องเส้นเลือดจะเห็นเป็นเส้นอยู่ทั้ง2ด้านของเขี้ยวจากโคนลงมาที่ส่วนปลาย แต่เขี้ยวหมีนั้นร่องเส้นเลือดจะเป็นวงแหวนรอบๆบริเวณปลายเขี้ยวเท่านั้น(มีภาพด้านล่าง)
ในกรณีที่เป็นเขี้ยวแกะสลักเป็นรูปเสือแล้วไม่ใช่เขี้ยวเต็ม เราอาจจะไม่เห็นร่องเส้นเลือดและรูปร่างของเขี้ยวทั้งหมดได้ ดังนั้นเราจะต้องใช้วิธีดูที่ใต้ฐาน เพื่อพิจารณาขนาดของรูตรงกลาง รูของเขี้ยวเสือจะเล็ก (ขนาดไม่เกิน30%ของพื้นที่หน้าตัดทั้งหมด)และควรมีความหนากว่าเขี้ยวหมีมาก และวิธีดูว่าเป็นรูของเขี้ยวเสือจริงไม่หรือเป็นการใช้สว่านเจาะเป็นรูโดยใช้เรซินหรือพลาสติกหล่อเป็นเขี้ยวขึ้นมาก่อน เราจะสังเกตได้โดยใช้กล้องส่องขยายบริเวณรอบปากรูกลวงนั้นซึ่งปกติจะต้องสังเกตเห็นเส้นรัศมีรอบๆคล้ายวงปีของต้นไม้เสมอ(รูปภาพด้านล่าง)ถ้าไม่มีแสดงว่าเป็นของปลอม
ในการพิจารณาสีของเขี้ยวเสือแกะของหลวงพ่อปานโดยปกติจะพบเป็นสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้มทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของเขี้ยวโดยเขี้ยวที่มีอายุมากจะมีสีเข้มกว่าเขี้ยวอายุน้อยหรือขึ้นอยู่กับการใช้งานหรือการถูกสัมผัสมากน้อย เขี้ยวเสือที่ผ่านการใช้งานหรือสัมผัสจะมีสีเหลืองเข้มมากขึ้นจนถึงสีน้ำตาล
– ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือความเข้มของสีเขี้ยวเสือที่เป็นธรรมชาตินั้นจะต้องมีความเข้มอ่อนที่ไม่เท่ากันตลอดทั้งเขี้ยว แต่ถ้าสีของเขี้ยวเข้มเท่ากันหมดแสดงว่าเกิดจากการทำขึ้นมาภายหลัง ข้อที่อยากให้พิจารณาอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือสีของเขี้ยวเสือนั้นถ้าเราพลิกดูด้านใต้บริเวณที่มีรูกลวงอยู่ ให้สังเกตว่าสีของเขี้ยวจะมีความเข้มมากที่สุดที่บริเวณผิวนอกและสีจะต้องจางลงเมื่อมาถึงบริเวณรอบๆรูตรงกลางจุดนี้เป็นธรรมชาติที่ทำปลอมไม่ได้เลย (สามารถดูภาพประกอบด้านล่าง)
2.การพิจารณารายละเอียดพิมพ์ต่างๆและวิธีการสร้าง ซึ่งจะต้องมีข้อพิจารณาต่างๆดังนี้
2.1การพิจารณาพิมพ์ โดยที่พิมพ์นั้นจะไม่มีรูปแบบที่แน่นอนตายตัวเหมือนกันทุกเขี้ยวเหมือนการสร้างพระเครื่องแบบ อื่นๆที่ต้องมีแม่พิมพ์ชัดเจน แต่เนื่องจากการแกะสลักเขี้ยวเสือนั้นใช้ช่างแกะสลักอยู่ประ มาณ 5คน จึงใช้รายละเอียดพิมพ์มาเป็นรูปแบบตายตัวไม่ได้ แต่ก็จะมีความคล้ายกันอยู่ และศิลปะในการแกะมิติ,สัดส่วนต่างๆกํจะใกล้เคียงกัน
2.2 พิจารณาวิธีการสร้าง โดยการพิจารณาใน 2ส่วนคือ
1.การแกะลวดลายนั้นเกิดจากการใช้มือแกะ ที่ต้องมีเหมือนกันทุกองค์ ไม่ได้ใช่เครื่องทุ่นแรงเหมือนในของเลียนแบบ จะสังเกตได้จากร่องที่แกะสลักจะมีความตื้นลึกไม่เสมอกันซึ่งเป็นธรรมชาติของการใช้มือแกะ และผิว,ในร่องจะไม่เรียบหรือใช้เครื่องมือเช่นเครื่องกรอมาช่วยแกะ จุดนี้เราพิจารณาจากร่องรอยและเส้นต่างๆถ้าใช้มือแกะความตื้นลึก ความตรงของเส้นขอบของร่องต่างๆจะไม่เท่ากันแต่ถ้าใช้เครื่องมือกรอ ร่องก็จะเรียบร้อยเส้นสายต่างๆและความลึกก็จะเท่ากันหมดแสดงว่าผิดธรรมชาติ
– จะมีภาพด้านล่างแสดงให้เห็นว่าพื้นที่อยู่ในร่องที่แกะนั้นจะไม่เรียบแต่พื้นจะเป็นคลื่นและมีร่องรอยการใช้อุปกรณ์แกะให้เห็นชัดเจน ถ้าเป็นการใช้เครื่องกรอฟันมาแกะพื้นจะเรียบเสมอกันหมด (มีภาพประกอบ)
2.การพิจารณาการจารอักขระเลขยันต์ ซึ่งเกิดจากการจารด้วยมือของหลวงพ่อปานเองทุกองค์ ธรรมชาติของการจารนั้นจะเปรียบเหมือนกับการเขียนหนังสือน้ำหนักมือในการจารมักจะไม่เท่ากันทำให้เส้นของตัวจารจะลึกตื้นไม่เท่ากันและมักจะมีการตวัดมือตอนจบของปลายตัวอักขระซึ่งจะทำให้มองเห็นปลายเส้นที่เล็กลง ดังนั้นเส้นที่จารแล้วมีความลึกเท่ากันทุกตัวอักษรแสดงว่าตั้งใจทำมากเกินไปไม่เป็นธรรมชาติเป็นข้อสังเกตไว้ด้วย ลักษณะของจารของหลวงพ่อปานก็จะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวท่านจะจารตวัดเร็ว แต่สวยงามชัดเจน ซึ่งจะเหมือนกันในเขี้ยวเสือทุกชิ้น ส่วนอักขระที่ท่านใช้จารนั้นที่พบเห็นจะมีการจารเป็นตัว”อุ” มีทั้งหางชี้ขึ้นและหางดิ่งลง การจารคล้ายเลข 3ไทยและเลข 7ไทย การจารยันต์กอหญ้าและการจารตัว ฤ ฤา ส่วนตำแหน่งของการจารนั้นส่วนใหญ่แล้วจะพบในตำแหน่งหลักๆไม่กี่จุด ตำแหน่งที่ต้องพบเสมอเช่น
– ด้านหน้าของขาคู่หน้าส่วนใหญ่จะเป็นยันต์อุหางขึ้นหรือหางลงเหมือนกันทั้ง2ข้าง
– ด้านข้างลำตัวทั้ง2ข้างส่วนใหญ่จะเป็นเลขไทย เหมือนกันทั้ง2ข้าง
– ต้นขาหรือสะโพกหลัง 2ข้างส่วนใหญ่จะเป็นเลข 7ไทยเหมือนกันทั้ง 2ข้าง
– บริเวณใต้ฐานจะจารเป็นยันต์กอหญ้า 2ด้านอยู่ตรงข้ามกันหรือบางชิ้นจะจารเพิ่มสลับกับ ตัวฤ ฤา หรือบางครั้งมียันต์อุด้วย
– บริเวณใบหน้าใต้หูทั้ง 2ข้าง จุดนี้พบไม่บ่อยนัก จะจารเป็นเลข 7ไทย
บริเวณก้นหรือบั้นท้ายที่โคนหางจะพบน้อยกว่าจุดอื่นๆ
การจารนั้นรอยจารครบทุกจุดที่ได้กล่าวไว้ ได้แก่ใต้ใบหู2ข้าง ด้านหน้าขาหน้าทั้ง2ข้าง ด้านข้างลำตัวทั้ง2ข้างและใต้ฐานรอบรูกลวงของเขี้ยว
3. พิจารณาความเก่า(30%) โดยเขี้ยวจะต้องมีความเก่าทีสมกับอายุกว่า 100ปี โดยพิจารณา
– ที่ตัวผิวของเขี้ยวจะต้องมีความแห้งเป็นธรรชาติ มีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาล และผิวสัมผัสจะมีความใสอยู่ บางชิ้นจะมีรอยหดเหี่ยวตามกาลเวลาให้เห็นเป็นเสี้ยนเล็กๆที่โบราณเรียกว่า ”เสือขึ้นขน” หรือบางชิ้นมีรอยปริแยก
– ให้สังเกตในร่องจารหรือส่วนที่ลึกลงไปเป็นบริเวณที่ไม่ได้ถูกสัมผัสจะต้องมีความแห้งกว่าส่วนผิวบนและมีคราบฝุ่นหรือเศษผงเล็กๆติดอยู่แต่ก็ต้องแยกให้ออกว่าทำให้เก่าโดยทำให้เป็นคราบสกปรกติดอยู่ลักษณะนี้จะเห็นว่าจะมีความมันวาวในร่องตรงจุดที่ทำคราปิดไว้ไม่หมดและคราบเก่าไม่เป็นธรรมชาติจะเท่ากันหมดและเป็นสีดำๆหรือน้ำตาล ปกติในชิ้นที่ไม่ได้ผ่านการใช้จะเป็นคราบออกสีขาวอมน้ำตาลอมเทา
– อีกจุดหนึ่งที่จะเห็นร่องรอยความเก่าได้คือในร่องของตัวจารจะเห็นความแห้งและคราบเก่าได้เช่นเดียวกัน
การทำเขี้ยวปลอมที่พบได้มีวิธีต่างๆ
1.ใชัเขี้ยวสัตว์ชนิดอื่นมาแทน
2.ใช้กระดูกสัตว์
3.ใช้สิ่งเทียมสร้างขึ้นมาใหม่ เช่นจากเรซินหรือพลาสติก
4.การตกแต่งและทำสีเขี้ยวปลอมให้เหมือนเขี้ยวเสือ
5.เอาเขี้ยวหมี หมูป่า เขี้ยวสุนัข มามาเคี่ยวด้วยน้ำมันงาเพื่อทำให้สีดูเข้มขึ้นและดูเป็นมัน ซึ่งเขี้ยวที่คั่วน้ำมันงาจะดูเยิ้มเพราะอมน้ำมัน แต่เขี้ยวจริงนั้นจะดูแห้ง ใส เหลืองเป็นมันวาว บางครั้งเมื่อคั่วน้ำมางาเสร็จแล้วจะนำมาต้มอีกครั้งเพื่อไล่น้ำมันออกก็จะทำให้ผิวดูด้านขึ้นไม่วาวซึ่งจะทำให้จับผิดได้ง่ายขึ้น
6.ใช้กระดูกสัตว์มาทำจะแยกออกได้ง่ายด้วยการดูที่ผิวนอกจะดูด้านและไม่วาวเหมือนเขี้ยวเพราะว่าธรรมชาติของผิวนอกของกระดูกจะด้านกว่าเขี้ยว เสร็จแล้วเอาต้องมาเจาะรูแล้วนำไปย้อมสีหรือคั่วน้ำมันงา
7.นำเรซินไปแช่ด่างทับทิมหรือทิงเจอร์ไอโอดีนจะทำให้เกิดคราบสีเหลืองติดที่ผิวแล้วจึงนำมาขัดจากนั้นนำไปเจาะรู วิธีนี้สีของเขี้ยวปลอมจะเข้มเท่ากันหมดผิดธรรมชาติ เขี้ยวแท้นั้นจะไม่เป็นสีเดียวกันทั้งหมดมีแก่อ่อนต่างกันไปและให้ดูสีที่อยู่รอบๆใกล้รูตรงกลางสีจะต้องอ่อนกว่าส่วนที่อยู่ห่างออกไปเสมอ และรูตรงกลางที่เจาะจะไม่เป็นธรรมชาติและไม่มีเส้นรัศมี
รายละเอียดของเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน รูปแบบต่างๆที่ได้ถูก สร้างไว้นั้นมีหลายรูปแบบที่หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบและไม่เคยเห็น ได้แก่
1. เขี้ยวเสือแกะสลักแบบเต็มเขี้ยว
2. เขี้ยวเสือซีกแกะสลักโดยตัดจากส่วนหนึ่งของเขี้ยวมาแกะเป็นรูปเสือมีหลายขนาด
3.เขี้ยวสาลิกา คือเขี้ยวเสือแกะสลักที่มีขนาดเล็กมาก โดยการตัดบริเวณปลายเขี้ยวมาแกะสลัก นับว่ามีการสร้างน้อย,หายากมากและมีค่าความนิยมสูงมากกว่าขนาดปกติ
4. เขี้ยวเสือแกะซ้อนเป็นรูปเสือ 2ตัวที่พบยากกว่าแบบตัวเดียว โดยแบ่งเป็น
4.1 แกะแบบซ้อน2ตัวในแนวตั้ง โดยมีแกะสลักเป็นรูปเฉพาะส่วนที่เป็นศรีษะของเสืออยู่ด้านบนและเป็นรูปเสือเต็มตัวอยู่ด้านล่าง โดยจะมีการหันศรีษะกลับด้านกัน(มีภาพด้านล่างประกอบ)
4.2 เขี้ยวเสือแกะสลักแบบซ้อนโดยมีการแกะสลักเป็นรูปเสือเต็มตัว 2ตัวเรียงกันในแนวราบ โดยแกะสลักจากเขี้ยวเดียว เป็นรูปเสืออ้าปากและเสือหุบปาก โดยมีการจารกำกับไว้ตามรูปแบบการสร้างของหลวงพ่อปานทุกองค์ (ตามภาพด้านล่าง)
ท่านสามารถศึกษาพระเครื่องหมวดต่างๆเพิ่มเติมของ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”แหล่งรวบรวมข้อมูลและสะสมพระพุทธรูป,พระบูชา,พระเครื่องทุกหมวดหมู่,เครื่องรางของขลังและเครื่องถ้วยโบราณจากแหล่งต่างๆที่หาชมยากและมากที่สุดของเมืองไทย ที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นวิทยาทาน โดยไม่มีจุดประสงค์เพื่อการค้าหรือการพาณิชย์ใดๆมาแอบแฝง ได้ที่ช่องทาง
-เว็บไซต์ www.puttharugsa.com
-เฟสบุ๊คเพจ”พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”
-ช่องยูทูป” พิพิธภัณฑ์ส่วนตัวพุทธรักษา”