แนวทางการศึกษาพระสมเด็จวัดพระแก้ว(วังหน้า)และพระสมเด็จกรุพระธาตุพนม (จำลอง)
-พระสมเด็จกรุพระธาตุพนม(จำลอง)
จะมีการสร้างไว้3แบบ
1. พระสมเด็จเนื้อผงประดับลูกปัดและอัญญมณี
2. พระสมเด็จด้านหลังจารึกแผ่นทอง
3. พระสมเด็จเนื้อหยก
เนื่องจากมีการพบ”พระสมเด็จเนื้อหยกสีแดง สีเขียว ที่มีแผ่นทองคำปั๊มนูนเป็นตัวอักษร 3บรรทัดปิดอยู่ที่ฐานว่า บรรทัดแรก-ขรัวโต บรรทัดที่2-พระธาตุและบรรทัดที่3-๒๔๐๑ ด้านหลังเรียบลักษณะเป็นพิมพ์คล้ายพิมพ์ใหญ่ของพระสมเด็จวัดระฆัง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ซึ่งจากลักษณะดังกล่าวข้างต้นมีการเรียกชื่อพระสมเด็จองค์นี้ว่า” พระสมเด็จเนื้อหยกกรุพระธาตุพนม” หรือ” พระสมเด็จเนื้อหยกกรุวัดพระแก้ววังหน้า” จากชื่อที่เรียกและลักษณะขององค์พระสมเด็จดังกล่าว สำหรับพระเนื้อหยกนั้นจะขอกล่าวเฉพาะพิมพ์ที่คล้ายพิมพ์ใหญ่ของวัดระฆังเท่านั้น
เพื่อหาข้อมูลมาพิสูจน์ว่าพิมพ์ดังกล่าวมีการสร้างขึ้นจริงหรือไม่นั้น เบื้องต้นควรจะต้องมีการค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาข้อมูลมาประกอบการพิจารณาเพื่อต้องการให้ทราบโดยแน่ชัดว่า
1.ชื่อพระธาตุซึ่งหมายถึงพระธาตุพนมจำลองมีอยู่จริงที่วัดพระแก้ววังหน้าในสมัยพ.ศ.2401หรือไม่
2.วัสดุที่สร้างทำจากหยกธรรมชาติและ แผ่นทองคำจริงหรือไม่
3.ประวัติการสร้างที่สนับสนุนและรายละเอียดขององค์พระเป็นพิมพ์ของวัดระฆังสมัยเจ้าประคุณสมเด็จโตหรือไม่
4.ความเก่าขององค์พระสมที่ทำจากหยกธรรมชาติมีๆอายุกว่า150ปีหรือไม่
1. เริ่มจากสถานที่คือ”วัดพระแก้ววังหน้า” จากการค้นคว้าหาข้อมูลพบว่า”วัดพระแก้ววังหน้า” มีการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยในสมัยรัชกาลที่3 ซึ่งก็คือ”วัดบวรสถานมงคล” เป็นวัดที่สร้างขึ้นไว้ในเขตพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า(ซึ่งเหมือนกับวัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้วมรกต)ที่สร้างไว้ในพระบรมมหาราชวังในปัจจุบันนี้ ซึ่ง”วัดพระแก้ววังหน้า” ในสมัยนั้นไม่ใช่วัดพระแก้วมรกตในปัจจุบันนี้ตามที่หลายท่านยังเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่)เป็นวัดที่ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ แต่สร้างไว้เพื่อให้เจ้ากรมพระบวรสถานมงคลทุกพระองค์ประกอบพิธีทางศาสนา ที่ตั้งของวังหน้าก็คือกรมศิลปากรและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติในปัจจุบันนี้ ส่วนวัดพระแก้ววังหน้าคือวัดบวรสถานสุทธาวาสอยู่ถัดจากโรงละครแห่งชาติในปัจจุบัน ตำแหน่งวังหน้าในสมัยอยุธยาจนมาถึงสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลที่ 4นั้นถือว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญ เปรียบเสมือนเป็นพระมหาอุปราชและในปีพ.ศ.2401ได้มีการสร้างพระธาตุพนม(จำลอง)โดยถ่ายแบบมาจากองค์จริงเสร็จเรียบร้อยโดยตั้งอยู่บริเวณที่ด้านหน้าของวัดพระแก้ววังหน้า ซึ่งเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ว่ามีการสร้างขึ้นจริงจากภาพประกอบในหนังสือ”นำชมกรุงรัตนโกสินทร์”ซึ่งเป็นหนังสือและสมุดภาพที่ได้รวบรวมเรื่องราวด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ประติมากรรม สถาปัตยกรรมและแหล่งโบราณคดีที่สำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งจัดพิมพ์ในโอกาสสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์200ปี พ.ศ.2525
จากหลักฐานข้อมูลต่างๆข้างต้นทำให้มั่นใจได้ว่าคำว่า”พระธาตุ” ที่ระบุไว้ในองค์พระสมเด็จเนื้อหยกนั้นหมายถึงพระธาตุพนมจำลองที่สร้างขึ้นในวัดพระแก้ววังหน้าในสมัยรัชกาลที่4ในปีพ.ศ.2401นั้นมีอยู่จริง
2. วิธีการตรวจสอบวัสดุ(หยก)ที่ใช้สร้างพระสมเด็จกรุพระธาตุพนม(จำลอง)
การพิสูจน์หรือตรวจสอบว่าหยกที่ใช้สร้างพระสมเด็จนั้นเป็นหยกจากธรรมชาติหรือเกิดจากวัสดุจากมนุษย์ทำขึ้น เพราะโดยหลักการและวิธีการสร้างพระสมเด็จในยุคสมัยนั้นโดยเฉพาะการสร้างเพื่อบรรจุไว้ในสถานที่สำคัญและผู้สร้างไม่ใช่บุคคลธรรมดาสามัญด้วยแล้ว วัสดุที่นำมาสร้างพระจะต้องคัดสรรนำเอาวัสดุที่มีค่าและที่ดีที่สุดที่หาได้ ดังนั้นหยกที่นำมาสร้างจะต้องเป็นหยกแท้และคุณภาพดี วิธีตรวจสอบที่นำมาใช้คือ
1.วิธีที่แน่นอนที่สุดคือการใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการช่วยตรวจสอบ
2.แต่ถ้าเราไม่สามารถนำไปตรวจสอบในห้องปฏิบัติการได้ในทันทีเพราะบางครั้งได้พบโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็มีวิธีตรวจสอบแบบง่ายๆคือ
-นำมาสัมผัสที่ผิวหนังของเราธรรมชาติของหยกจะมีความเย็นที่รู้สึกได้แต่ถ้าเป็นแก้ว, พลาสติกหรือเรซินจะไม่รู้สึกถึงความเย็น
- โดยการใช้แสงไฟสว่างมากๆส่องที่แผ่นหยกโดยให้ต้นกำเนิดแสงอยู่ทิศตรงข้ามกับตาของเรา เมื่อมองที่เนื้อในแผ่นหยกจะต้องเห็นเส้นใยเป็นธรรมชาติไม่ใสเป็นเนื้อเดียวตลอดทั้งแผ่นเหมือนแก้วพลาสติกหรือเรซิน
รูปที่ 4 ในเนื้อหยกแท้จากภาพด้านบนเมื่อใช้ไฟส่องจะเห็นเส้นใยในเนื้อเป็นธรรมชาติ
รูปที่ 5 และ 6 ภาพด้านบนพระเนื้อหยกแท้จะเห็นเส้นใยในเนื้อชัดเจนเป็นธรรมชาติทั้งหยกเขียวและหยกแดง
– พิจารณาที่ผิวองค์พระ ปกติถ้าเป็นคุณเนื้อหยกแท้จะเห็นร่องรอยเส้นต่างๆที่ผิวจากการเจียรไนตัดกับเส้นใยในเนื้อหยกเกิดเป็นเส้นหรือตาข่ายเล็กๆเป็นรอยด้านๆที่ผิวเสมอถ้าเป็นแก้ว, พลาสติกหรือเรซินจะเรียบใสไม่มีร่องรอยของเส้นหรือตาข่ายให้พบเห็น
3. ประวัติการสร้างพระกรุพระธาตุพนมจำลองนั้นเกิดขึ้นในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี เป็นผู้จัดสร้างขึ้นเพื่อนำพระต่างๆมาบรรจุลงในเจดีย์ที่จัดสร้างขึ้นคล้ายกับพระธาตุพนมองค์จริงที่จังหวัด นครพนม โดยพระธาตุพนมจำลองนั้นตั้งอยู่ที่วัดพระแก้ววังหน้าในสมัยนั้น ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติด้านข้างท้องสนามหลวง
-พระสมเด็จวัดพระแก้ว(วังหน้า)
1.เนื้อพระหลากหลายเช่นเนื้อผง,เนื้อปูน,เนื้อหิน
2.มีฐานหลากหลายทั้งฐานเดี่ยวและฐานคู่
3.ซุ้มพระมีหลากหลายส่วนมากเป็นเส้นขนมจีน
4.องค์พระอกใหญ่เอวเล็กหรือเอวลอย
5.ผิวพระมีปิดทองร่องชาดหรือแตกลาย
6.มีร่องรอยการแตกที่ผิวเป็นธรรมชาติ
7.เนื้อพระเป็นผงปูนโปสเลน(ปอร์ตแลน)หรือปูนอื่นๆ
พิมพ์ต่างๆที่พบได้ในพระสมเด็จวังหน้าเช่น
-พระสมเด็จพิมพ์ใหญ่ลงรักลงชาดปิดทองเนื้อปูนโปสเลน
-พิมพ์หลวงปู่โลกอุดร กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญสร้างให้หลวงปู่โลกอุดร มีมวลสารมากมายและหลากพิมพ์ทั้งพิมพ์นั่งเเละพิมพ์ยืน
-พิมพ์จตุคามรามเทพ กรมพระวังบวรวิชัยชาญ เจ้าพระยาสุภานุวงศ์ มหาโกษาธิบดี เจ้าคุณกรมท่า และสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ร่วมสร้างถวายรัชกาลที่ 5 ตอนขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2411 มีการสร้างหลายสิบพิมพ์
-พิมพ์พระสีประจำวัน สีไตรรงค์ เบญจรงค์ สัตตรงค์ นพรงค์หรือนวรงค์ ผู้ที่ร่วมสร้างเช่นเดียวกันกับที่สร้างจตุคามรามเทพเพื่อเสริมสร้างพระบารมีถวายรัชการที่5 ขณะขึ้นครองราชย์ โดยท่านเจ้าคุณกรมท่าได้นำผงหินปูนสีสำเร็จรูปมาจากมณฑลอันฮุย ประเทศจีนถึง 9 สี คือ แดง เหลือง ชมพู เขียว ส้ม ฟ้า ม่วง ดำ ขาว มาทำเป็นพระประจำวัน 7 สี พระไตรรงค์ 3 สี พระเบญจรงค์ 5สี(ขาว ดำ เหลือง แดง เขียว) สีประจำธาตุคือดิน น้ำ ลม ไฟ และไม้ พระสัตตศิริหรือสัตตรงค์ 7 สี พระนวรงค์หรือนพรงค์ 9 สีทีเซียนเรียกว่าพระสีรุ้งหรือพระลิเก
-พระสมเด็จประดับอัญมณี เป็นเพชรพลอยหรืออัญมณีต่างๆ ฝีมือช่างสิบหมู่ การพิจารณาพระสมเด็จประดับอัญมณีนี้ คือการพิจารณาอัญมณีว่าแท้หรือปลอมร่วมกับพิจารณาเนื้อพระสมเด็จควบคู่กันไปด้วย ถ้าอัญมณีปลอมก็ไม่ต้องพิจารณาเนื้อพระอีกต่อไป
พระสมเด็จประดับเพชรพลอยนี้ ก็มีการสร้างหลังจากสมเด็จโต ได้สิ้นไปแล้วก็มีคือสร้างโดย ราชสกุล นวรัตน์-วรรัตน์ ณ อยุธยา ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพระปิ่นเกล้า ได้สร้างเพื่อถวายรัชกาลที่ 5 ตอนทรงครองราชย์ครบ 25 ปี ตอนฉลองอนุสาวรีย์ทรงม้าก็มีซึ่งไม่ทันสมเด็จโต “ให้สังเกตง่ายๆคือ ที่พระพักตร์ของรัชกาลที่ 5 จะมีพระมัสสุ(หนวด)ยาว แต่ถ้าทันยุคสมเด็จโตจะไม่มีพระมัสสุยาว (หนวด)
รูปที่ 10, 10.1,10.2 เป็นภาพตัวอย่างพระสมเด็จวัดพระแก้ว(วังหน้า)ที่เป็นพระสมเด็จที่ผสมผงหินปูนสีสำเร็จทั้ง9สีที่นำมาจากมณฑลอันฮุย ประเทศจีน ที่เซียนบางท่านเรียกว่า”พระสีรุ้ง” หรือ”พระลิเก” และบอกว่าเป็นพระเก๊ไม่ได้มีการสร้างจริง แต่จากการพิจารณาพิมพ์ มวลสารและความเก่าแล้วกลับตรงกันข้ามเพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยพบเห็นของจริงนั่นเอง การพิจารณาพระแท้นั้นเริ่มตั้งแต่พิมพ์ มวลสาร และความเก่าที่ต้องมีครบถ้วน จากภาพจะเห็นธรรมชาติความเก่าขององค์พระจากรูพรุนปลายเข็มหรือรอยปูไต่ที่เกิดจากการสลายตัวของอินทรีย์สาร ความหนึกนุ่มของเนื้อพระต้องมี ความเก่าของผงหินสีที่ผสมต้องเก่าสมอายุส่วนพระปลอมที่เห็นกันทั่วไปจะมีความใหม่ การผสมผสานของสีไม่เป็นธรรมชาติ
รูปที่11 เป็นภาพพระสีต่างต่างๆ 9 สี แต่ละองค์จะเป็นสีเดียวทั้งองค์และสีที่ผสมเป็นผงหินปูนสีสำเร็จที่สมเด็จกรมเจ้าท่าได้นำมาจากประเทศประจีนได้แก่สีขาว แดง ดำ เหลือง เขียว ฟ้า ชมพู ส้ม และแดง แต่ละองค์นั้นมีรายละเอียดพิมพ์ และความเก่าสมอายุตามหลักฐานการสร้างกว่า160ปี ท่านผู้อ่านสามารถชมภาพรายละเอียดของแต่ละองค์ได้ในหมวดรูปภาพพระสมเด็จวัดระฆัง
รูปภาพที่ 12 เป็นภาพพระสมเด็จวังหน้าที่บรรจุพระธาตุสีต่างๆไว้ทั้งที่เป็นพิมพ์ใหญ่และพิมพ์ขาโต๊ะ3ชั้น จากการขยายภาพด้วยกล้องขนาด ×40 จะพบว่าพระธาตุต่างนั้นมีการแบ่งตัวให้พบเห็นอย่างน่าอัศจรรย์มาก
ภาพที่ 13, 14, 15, 16และ17 เป็นภาพขยายให้เห็นการแบ่งตัวของเม็ดพระธาตุที่บรรจุอยู่ในพระสมเด็จวัดพระแก้ว(วังหน้า)ที่เป็นของแท้ ส่วนของปลอมนั้นจะนำเม็ดพลาสติกหรือแก้วสีมาใส่ไว้จะไม่พบเห็นการแบ่งตัวของเม็ดพระธาตุ รวมถึงความเก่าสมอายุและพิมพ์ ท่านสามารถชมภาพรายละเอียดของแต่ละองค์ได้ในหัวข้อหมวดรูปภาพพระสมเด็จวัดระฆัง