Select Page
หลวงพ่อปาน​ อคฺคปญฺโญ หรือพระครูพิพัฒน์นิโรธกิจ​ อดีตเจ้าอาวาส​วัด”มงคลโคธาวาส” หรือ”วัด” คลองด่าน” แต่คนทั่วไปมักจะเรียกกันในชื่อ” วัดบางเหี้ย”เพราะเป็นสถานที่ที่มีตัวเงินตัวทองอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากเนื่องจากอยู่ในเขตน้ำกร่อยของจังหวัด​สมุทรปราการ​ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของวัดนั่นเอง​ อีกประการหนึ่งที่มักจะมีการจำชื่อของท่านสับสนกับหลวงพ่อปาน​ วัดบางนมโค จ.อยุธยา​ กันอยู่บ่อยครั้งเพราะว่ามีชื่อที่เหมือนกัน​ ช่วงอายุของท่านอยู่ระหว่างพ.ศ.2370-2453 ซึ่งเกินกว่า 100 ปีล่วงมาแล้ว
หลักการศึกษาเบื้องต้นของเขี้ยวเสือหลวงพ่อปานนั้นต้องพิจารณาองค์ประกอบหลักสำคัญ3ประการเช่นเดียวกับการศึกษาพระเครื่องชนิดอื่นๆทุกชนิดคือ

  1. มวลสารหรือวัสดุที่ใช้สร้างต้องเป็นเขี้ยวเสือเท่านั้น
  2. รายละเอียดหรือพิมพ์ในการแกะเป็นรูปร่างของเสือแบบต่างๆรวมถึงการจารตัวอักขระด้วย
  3. ความเก่าของเขี้ยวเสือที่สมอายุกว่า 100 ปี

1.การพิจารณาเขี้ยวเสือของแท้​ เบื้องต้นต้องมีความรู้เกี่ยวกับกายวิภาคของเขี้ยวเสือเสียก่อนว่า​ เขี้ยวเสือคือส่วนที่เป็นฟัน​ จะต้องประกอบด้วยเนื้อฟันที่อยู่ด้านในและตัวเคลือบฟันที่อยู่ด้านนอกเช่นเดียวกับฟันของมนุษย์ที่ต้องมีความมันวาว​ แต่เขี้ยวเสือนั้นจะมีความพิเศษกว่า​เพราะเป็นสัตว์กินเนื้อที่ต้องใช้ฟันหรือเขี้ยวเป็นอาวุธในการสังหารเหยื่อ​ ดังนั้นเขี้ยวของเสือจึงถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษทั้งในเรื่องความแข็งแรง​ ความยาวและความแหลมคม​ ซึ่งความหนาของเขี้ยวนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้เพิ่มความแข็งแรงเพื่อใช้สังหารและลากเหยื่อ​ ความหนาของเขี้ยวนั้นจะนำไปใช้ในการแยกชนิดของเขี้ยวได้เป็นอย่างดีอีกด้วย​ คุณสมบัติอีกประการของเขี้ยวเสือคือจะต้องมีความแกร่ง​และทนต่อความร้อนได้ดี​ โดยสามารถทนต่อการทดสอบได้ด้วยการลนไฟ​ได้ ซึ่งนำไปใช้ในการทดสอบความแตกต่างของเขี้ยวเสือแท้กับเรซินหรือพลาสติกหล่อ​ หลังจากนั้นควรทราบลักษณะทางกายภาพของเขี้ยวสัตว์แต่ละชนิดที่คล้ายกับเขี้ยวเสือเพื่อเปรียบเทียบกันให้เห็นภาพและจดจำความแตกต่างที่ชัดเจนเหล่านี้ไว้เพื่อนำไปใช้ประโยชน์เวลาที่ไปพบกับเขี้ยวสัตว์ในสนามหรือสถานที่ต่างๆที่เราได้ไปพบ​ จะได้นำความรู้นี้ไปใช้ประโยชน์ได้​ เพราะจุดนี้ถือว่าเป็นด่านแรกที่สำคัญที่สุดเพราะถ้าเราพิสูจน์ได้ก่อนว่าไม่ใช่เขี้ยวเสือก็ไม่ต้องไปตรวจสอบส่วนอื่นที่เหลือ

เขี้ยวสัตว์ที่มีลักษณะคล้ายกันที่มักพบเจอในตลาดซื้อขายและทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้มีอยู่2ชนิดคือเขี้ยวหมีและเขี้ยวเสือ​ ซึ่งเบื้องต้นเราต้องแยกให้ออกระหว่างเขี้ยวทั้ง2​ จากการพิจารณาดูจากรูปร่างภายนอกของเขี้ยวที่ต่างกันโดยเขี้ยวเสือรูปทรงจะชลูดยาวเกือบเสมอกันแต่เขี้ยวหมีจะอ้วนป้อมและโค้งเว้าที่ปลายเขี้ยวมากกว่าและอีกประการหนึ่งคือการดูที่ตำแหน่งของร่องเส้นเลือดที่จะอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันโดยเขี้ยวเสือร่องเส้นเลือดจะเห็นเป็นเส้นอยู่ทั้ง2ด้านของเขี้ยวจากโคนลงมาที่่ส่วนปลายแต่เขี้ยวหมีนั้นร่องเส้นเลือดจะเป็นวงแหวนรอบๆบริเวณปลายเขี้ยวเท่านั้น(ภาพด้านล่าง)​
ในกรณีที่เป็นเขี้ยวแกะเป็นรูปเสือแล้วไม่ใช่เขี้ยวเต็ม​ เราอาจจะไม่เห็นร่องเส้นเลือดและรูปร่างของเขี้ยวทั้งหมดได้​ ดังนั้นเราจะต้องใช้วิธีดูที่ใต้เสือตัวที่แกะมานั้นเพื่อพิจารณาขนาดของรูตรงกลาง​ รูของเขี้ยวเสือจะเล็ก(ขนาดไม่เกิน30%ของพื้นที่หน้าตัดทั้งหมด)​และควรมีความหนากว่าเขี้ยวหมีมาก​ และวิธีดูว่าเป็นรูของเขี้ยวเสือจริงไม่​หรือเป็นการใช้สว่านเจาะเป็นรูโดยใช้เรซินหรือพลาสติกหล่อเป็นเขี้ยวขึ้นมาก่อน​ เราจะสังเกตได้โดยใช้กล้องส่องขยายบริเวณรอบปากรูกลวงนั้นซึ่งปกติจะต้องสังเกตเห็นเส้นรัศมีรอบๆคล้ายวงปีของต้นไม้เสมอ(รูปภาพด้านล่าง)​ถ้าไม่มีแสดงว่าเป็นของ​ปลอม
ถ้าพิจารณาสีของเขี้ยวเสือแกะของหลวงพ่อปานโดยปกติจะพบเป็นสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้มทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของเขี้ยวโดยเขี้ยวที่มีอายุมากจะมีสีเข้มกว่าเขี้ยวอายุน้อย​หรือขึ้นอยู่กับการใช้งานหรือการถูกสัมผัสมากน้อย เขี้ยวเสือที่ผ่านการใช้งานหรือสัมผัสจะมีสีเหลืองเข้มมากขึ้นจนถึงสีน้ำตาล ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือความเข้มของสีเขี้ยวเสือที่เป็นธรรมชาตินั้นจะต้องมีความเข้มอ่อนที่ไม่เท่ากันตลอดทั้งเขี้ยว​ แต่ถ้าสีของเขี้ยวเข้มเท่ากันหมดแสดงว่าเกิดจากการทำขึ้นมาภายหลัง​ ข้อที่อยากให้พิจารณาอีกประการหนึ่งที่สำคัญก็คือสีของเขี้ยวเสือนั้นถ้าเราพลิกดูด้านใต้บริเวณที่มีรูกลวงอยู่​ ชให้สังเกตว่าสีของเขี้ยวจะมีความเข้มมากที่สุดที่บริเวณผิวนอกและสีจะต้องจางลงเมื่อมาถึงบริเวณรอบๆรูตรงกลางจุดนี้เป็นธรรมชาติที่ทำปลอมไม่ได้เลย(สามารถดูภาพประกอบด้านบน)​
2.การพิจารณารายละเอียดต่างๆหรือว่าดูพิมพ์นั่นเองซึ่งจะต้องมีข้อพิจารณาต่างๆดังนี้

        2.1 พิจารณาดูว่าการแกะลวดลายนั้นเกิดจากการใช้มือแกะหรือใช้เครื่องมือเช่นเครื่องกรอฟันมาช่วยแกะ จุดนี้เราพิจารณาจากร่องรอยและเส้นต่างๆถ้าใช้มือแกะความตื้นลึก ความตรงของเส้นขอบของร่องต่างๆจะไม่เท่ากัน​แต่ถ้าใช้เครื่องมือ​กรอ​ ร่องก็จะเรียบร้อยเส้นสายต่างๆและความลึกก็ชจะเท่ากันหมดแสดงว่าผิดธรรมชาติภาพด้านล่างแสดงให้เห็นว่าในพื้นร่องที่แกะนั้นจะไม่เรียบแต่พื้นจะเป็นคลื่นและมีร่องรอยการใช้อุปกรณ์แกะให้เห็นชัดเจน​ ถ้าเป็นการใช้เครื่องกรอฟันมาแกะพื้นจะเรียบเสมอกันหมด(ภาพประกอบ)​

     2.2 ลักษณะเขี้ยวเสือของหลวงพ่อปานนั้นจะมีรูปแบบพิมพ์ทั้งที่เป็น”เสือแกะเต็มเขี้ยว” “เสือแกะเขี้ยวซีก(ส่วนหนึ่งของเขี้ยว)” และเสือที่แกะจากปลายเขี้ยวที่มีขนาดเล็กมากเรียกว่า”เขี้ยวสาลิกา” ส่วนรูปแบบการแกะนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะจนมีคำกล่าวที่ว่า”เขี้ยวเสือโปร่งฟ้า(เขี้ยวต้องกลวง) หน้าแมว​ หูหนู​ ยันต์กอหญ้า​ ตาลูกเต๋า” ข้อสังเกตคือนิ้วเท้าที่ช่างแกะจะมีข้างละ4นิ้วรวมทั้ง4เท้าเป็น16นิ้วซึ่งเรียกว่ามี16โสฬส​ตามสูตรตัวเลขแห่งโชคลาภและความสำเร็จ ตามภาพด้านล่าง

2.3 พิจารณาการจารด้วยมือของหลวงพ่อปาน​ ธรรมชาติของการจารนั้นจะเปรียบเหมือนกับการเขียนหนังสือน้ำหนักมือในการจารมักจะไม่เท่ากันทำให้เส้นของตัวจารจะลึกตื้นไม่เท่ากันและมักจะมีการตวัดมือตอนจบของปลายตัวอักขระซึ่งจะทำให้มองเห็นปลายเส้นที่เล็กลง ดังนั้นเส้นที่จารแล้วมีความลึกเท่ากันทุกตัวอักษรแสดงว่าตั้งใจทำมากเกินไปไม่เป็นธรรมชาติเป็นข้อสังเกตไว้ด้วย​ ลักษณะของจาร​ของหลวงพ่อปานก็จะเป็น​เอกลัักษณ์เฉพาะตัวท่านจะจารตวัดเร็วแต่สวยงามชัดเจน​ ซึ่งจะเหมือนกันในเขี้ยวเสือทุกชิ้น​ ส่วนอักขระที่ท่านใช้จารนั้นที่พบเห็นจะมีการจารเป็นตัว”อุ” มีทั้งหางชี้ขึ้นและหางดิ่งลง​ การจารคล้ายเลข3และเลข7ไทย​ ​การจารยันต์กอหญ้าและการจารตัว​ ฤ ฤา ส่วนตำแหน่งของการจารนั้นส่วนใหญ่แล้วจะพบในตำแหน่งหลักๆไม่กี่จุด​ ตำแหน่งที่ต้องพบเสมอเช่น

  • ด้านหน้าของขาคู่หน้าส่วนใหญ่จะเป็นยันต์อุหางขึ้นหรือหางลงเหมือนกันทั้ง2ข้าง
  • ด้านข้างลำตัวทั้ง2ข้างส่วนใหญ่จะเป็นเลข7ไทยเหมือนกันทั้ง2ข้าง
  • ต้นขาหรือสะโพกหลัง2ข้างส่วนใหญ่จะเป็นเลข7ไทยเหมือนกันทั้ง2ข้าง
  • บริเวณใต้ฐานจะจารเป็นยันต์กอหญ้า2ด้านอยู่ตรงข้ามกันหรือบางชิ้นจะจารเพิ่มสลับกับ​ ตัวฤ ฤา หรือบางครั้งมียันต์อุด้วย
  • บริเวณใบหน้าใต้หูทั้ง2ข้าง​ จุดนี้พบไม่บ่อยนัก​ จะจารเป็นเลข7ไทย
  • บริเวณก้นหรือบั้นท้ายที่โคนหางจะพบน้อยกว่าจุดอื่นๆ
ภาพด้านบนจะแสดงให้เห็นรอยจารครบทุกจุดที่ได้กล่วไว้​ ได้แก่ใต้ใบหู2ข้าง​ ด้านหน้าขาหน้าทั้ง2ข้าง​ ด้านข้างลำตัวทั้ง2ข้างและใต้ฐานรอบรูกลวงของเขี้ยว
3. พิจารณาความเก่าสมอายุกว่า100ปีของเขี้ยวเสือ​ โดยเขี้ยวจะต้องมีความแห้งเป็นธรรชาติ​ มีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีน้ำตาลและผิวสัมผัสจะมีความใสอยู่​ บางชิ้นจะมีรอยหดเหี่ยวตามกาลเวลาให้เห็นเป็นเสี้ยนเล็กๆที่โบราณเรียกว่า”เสือขึ้นขน”หรือบางชิ้นมีรอยปริแยก​ จากนั้นให้สังเกตในร่องจารหรือส่วนที่ลึกลงไปเป็นบริเวณที่ไม่ได้ถูกสัมผัสจะต้องมีความแห้งกว่าส่วนผิวบนและมีคราบฝุ่นหรือเศษผงเล็กๆติดอยู่แต่ก็ต้องแยกให้ออกว่าทำให้เก่าโดยทำให้เป็นคราบสกปรกติดอยู่ลักษณะนี้จะเห็นว่าจะมีความมันวาวในร่องตรงจุดที่ทำคราปิดไว้ไม่หมดและคราบเก่าไม่เป็นธรรมชาติจะเท่ากันหมดและเป็นสีดำๆหรือน้ำตาล​ ปกติในชิ้นที่ไม่ได้ผ่านการใช้จะเป็นคราบออกสีขาวอมเทาหรืออีกจุดหนึ่งที่จะเห็นร่องรอยความเก่าได้คือในร่องของตัวจารจะเห็นความแห้งและคราบเก่าได้เช่นเดียวกัน

การทำเขี้ยวปลอมที่พบได้มีวิธีต่างๆ

  1. ใชัเขี้ยวสัตว์ชนิดอื่นมาแทน
  2. ใช้กระดูกสัตว์
  3. ใช้สร้างเทียมขึ้นมาใหม่จากเรซินหรือพลาสติก

การทำสีเขี้ยวปลอมให้เหมือนเขี้ยวเสือ

  1. เอาเขี้ยวหมี​ หมูป่า​ เขี้ยวสุนัข​ มามาเคี่ยวด้วยน้ำมันงาเพื่อทำให้สีดูเข้มขึ้นและดูเป็นมัน​ ซึ่งเขี้ยวที่คั่วน้ำมันงาจะดูเยิ้มเพราะอมน้ำมัน​ แต่เขี้ยวจริงนั้นจะดูแห้ง​ ใส​ เหลือง​เป็นมันวาว​ บางครั้งเมื่อคั่วน้ำมางาเสร็จแล้วจะนำมาต้มอีกครั้งเพื่อไล่น้ำมันออกก็จะทำให้ผิวดูด้านขึ้นไม่วาวซึ่งจะทำให้จับผิดได้ง่ายขึ้น
  2. ใช้กระดูกสัตว์มาทำจะแยกออกได้ง่ายด้วยการดูที่ผิวนอกจะดูด้านและไม่วาวเหมือนเขี้ยวเพราะว่าธรรมชาติของผิวนอกของกระดูกจะด้านกว่าเขี้ยว เสร็จแล้วเอาต้องมาเจาะรูแล้วนำไปย้อมสีหรือคั่วน้ำมันงา
  3. นำเรซินไปแช่ด่างทับทิมหรือทิงเจอร์ไอโอดีนจะทำให้เกิดคราบสีเหลืองติดที่ผิวแล้วจึงนำมาขัดจากนั้นนำไปเจาะรู​ วิธีนี้สีของเขี้ยวปลอมจะเข้มเท่ากันหมดผิดธรรมชาติ​ เขี้ยวแท้นั้นจะไม่เป็นสีเดียวกันทั้งหมดมีแก่อ่อนต่างกันไปและให้ดูสีที่อยู่รอบๆใกล้รูตรงกลางสีจะต้องอ่อนกว่าส่วนที่อยู่ห่างออกไปเสมอ

ภาพรายละเอียดแบบต่างๆของเขี้ยวเสือหลวงพ่อปาน

1. เขี้ยวเสือแกะแบบเต็มเขี้ยว
2. เขี้ยวเสือซีกแกะโดยตัดจากส่วนหนึ่งของเขี้ยวมาแกะเป็นรูปเสือืมีหลายขนาด
3. เขี้ยวเสือแกะซ้อนที่พบยากกว่าแบบตัวเดียว
3.1 แกะแบบซ้อน2ตัวโดยมีตัวบนและตัวล่าง(ตามภาพด้านล่าง)​
3.2 เขี้ยวเสือแบบแกะซ้อนโดยแกะแบบ2ตัวเรียงต่อกันในแนวราบโดยแกะเขี้ยวชิ้นเดียว(ตามภาพด้านล่าง)​