Select Page

การศึกษาพระเครื่องเนื้อเมฆพัด

การสร้างพระเครื่องเนื้อเมฆพัดและเนื้อเมฆสิทธิ์
            คำว่า”เมฆสิทธิ์” และ”เมฆพัด”นั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกโลหะผสมหลากหลายชนิดที่นำมาหลอมรวมกันตามกรรมวิธีแบบโบราณ​หรือที่เรียกกันว่า”เล่นแร่แปรธาตุ” หากนำมาสร้างพระเครื่องก็จะหมายถึง”โลหะธาตุกายสิทธิ์” ที่มีอานุภาพช่วยคุ้มครองและป้องกันอันตราย​ ช่วยเสริมบารมีและให้คุณกับผู้ครอบครอง​ ถือว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยในอดีตให้ความนับถือและแสวงหามาครอบครองกันเป็นอย่างมาก​ แม้แต่ในปัจจุบันก็ยังมีความนิยมอยู่มิเสื่อมคลาย แต่เนื่องจากการสร้างที่มีจำนวนน้อยมากและมีอายุการสร้างมานานร่วม100ปีจึงเป็นพระเครื่องที่หาชมและสะสมได้ยากมาก​ ประกอบกับมีการทำปลอมขึ้นมาจำนวนมาก​มีทั้งพิมพ์ที่คลาดเคลื่อนรวมถึงการสร้างและมวลสารที่นำมาใช้สร้างไม่ตรงกับข้อมูลเดิมที่เคยสร้างไว้ จึงทำให้เกิดปัญหากับผู้ที่ต้องการศึกษาเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าพเจ้าจึงมีความประสงค์ที่จะรวบรวมข้อมูลและประวัติการสร้างรวมถึงตัวอย่างพระเครื่องของจริงที่ถูกต้องทั้งพิมพ์​ ความเก่าและมวลสาร​พร้อมข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ในการตรวจสอบหาชนิดและปริมาณของโลหะที่เป็นมวลสาร​ เพื่อช่วยให้เราศึกษาได้ละเอียดและแม่นยำมากขึ้นกว่าในอดีต                                                           
                                                                                  พระเครื่องเนื้อเมฆพัด
           “เมฆพัด” นั้นตัวสะกดของคำว่า”พัด”ต้องใช้ “ด”ไม่ใช่​”เมฆพัตร”ซึ่่งแปลตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานว่า”ชื่อโลหะที่เกิดจากการเอาแร่มาหุงเข้าด้วยกันแล้วซัดด้วยกำมะถัน​ มีสีดำเป็นมัน​ แววเป็นสีคราม​ เรียกพระเครื่องที่ทำจากโลหะชนิดนี้ว่าพระเมฆพัด​หรือ​ พระเนื้อเมฆพัด” ตามความเชื่อของคนไทยในสมัยโบราณถือว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์มีอานุภาพในตัวเองเพราะขณะที่สร้างขึ้นตามกรรมวิธีนั้นจะมีการผสมน้ำว่านยาต่างๆเช่นไพรดำ​ ต้นหิงหาย​ ไม้โมก​ ขิงดำ​ กระชายดำ สบู่แดง​ สบู่เลือด​ ฯลฯ ในขณะเดียวกันก็จะมีการบริกรรมปลุกเสกด้วยคาถาไปตลอดจนครบกระบวนการผสมแร่ธาตุต่างๆ
         ลักษณะทางกายภาพของเนื้อเมฆพัด
สีของเนื้อเมฆพัดจะเป็นสีดำและผิวเป็นมันวาวถ้าดูทำมุมสะท้อนกับแสงจะมีสีเหลือบอมครามหรือน้ำเงิน​ แต่เมื่อนำเนื้อเมฆพัดมาขัด​ องค์พระจะเปลี่ยนเป็นสีขาวหรือขาวอมครามแต่พอทิ้งไว้นานๆจะเปลี่ยนกลับไปเป็นสีเทาเหลือบน้ำเงินเข้มหรือสีเทา
         แร่ธาตุหลักที่เป็นส่วนประกอบของเนื้อเมฆพัดจากข้อมูลในอดีตก็คือทองแดง(Cu)​และตะกั่ว(Pb)​ และ​เมื่อนำมาตรวจสอบด้วยเครื่องมือก็จะได้ผลลัพธ์ที่ตรงกัน​ ซึ่งทั้งทองแดงและตะกั่วซึ่งจะมีปริมาณรวมกันถึง99%ของมวลสารทั้งหมด (สัดส่วนของทองแดงและตะกั่วนั้นขอสงวนไว้ไม่นำมาเปิดเผยณที่นี้เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่คิดจะลอกเลียนแบบได้นำไปเป็นข้อมูล)​
–           จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า​XRF Spectrometer ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบหาชนิดและปริมาณของโลหะพบว่าพระเนื้อเมฆพัดของหลวงปู่นาค​ วัดห้วยจระเข้​ จำนวน4องค์​ (รูปที่2)​ ซึ่งเป็นพิมพ์ที่แตกต่างกันที่ข้าพเจ้าได้เก็บสะสมไว้ต่างวาระกันมานานหลายปี​ พบว่าทั้งชนิดและ​ปริมาณของโลหะของพระทั้งหมดนั้นตรงกันคือประกอบไปด้วยโลหะทองแดง(Cu)​และตะกั่ว(Pb)​ ซึ่งมีความใกล้เคียงกันมากอย่างมีนัยสำคัญ​ ซึ่งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า​ผู้สร้างในยุคนั้นมีหลักการและขั้นตอนในการสร้างที่เป็นมาตรฐานมีการชั่งและวัดปริมาณส่วนประกอบที่แน่นอน​ก่อนทำการสร้าง ซึ่งจุดนี้เองเป็นข้อมูลสำคัญที่ไม่เคยมีใครนำเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้เป็นมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับและทำให้ไม่มีใครโต้แย้งได้​  ปัจจุบันนี้ในวงการพระเครื่อง​ถ้าหากไม่มีข้อพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนและมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ทางวิทยาศาสตร์มายืนยันแล้วจะทำให้การลบล้างความเชื่อในตัวบุคคลหรือกลุ่มบุคคลเป็นไปได้ยากมาก​ เพราะจะมีข้อโต้แย้งที่ไม่มีเหตุผลตามมาได้ตลอด
–         เครื่องมือ​XRF Spectrometer​ มีทั้งขนาดใหญ่มาตรฐานที่ใช้ในห้องปฏิบัติการและขนาดเล็กที่สามารถนำไปใช้ภายนอกสถานที่เช่น​เหมืองแร่​ และโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่​ เพื่อสะดวกในการพกพาและการใช้งาน​ ซึ่งเครื่องมือชนิดพกพานี้จะมีความเที่ยงตรงใกล้เคียงกับเครื่องขนาดใหญ่ที่ใช้ในห้องปฏิบัติการ(ตามรูปที่1)​

 รูปที่ 1​ เครื่อง ​XRF​ Spectrometer

 รูปที่ 2. ภาพการตรวจสอบพระเนื้อเมฆพัดหลวงปู่นาค​ วัดห้วยจระเข้ ด้วยเครื่องXRF​ Spectrometer

 รูปที่ 3.​ใบรายงานผลของเครื่อง XRF​ Spectrometer

 ใบรายงานผลตรวจสอบจะแจ้งรายละเอียดต่างๆ​ ด้านบนสุดจะเป็นชื่อผู้ส่งตรวจ​  วันที่​ส่งตรวจ ชื่อพระ​ องค์ที่​ ส่วนด้านล่างจะเป็นชนิดและปริมาณโลหะที่ตรวจพบจะเป็นตัวเลขสีดำของโลหะทองแดง​และดีบุก​ซึ่งมีปริมาณรวมกัน99% ในสัดส่วนที่เท่ากัน1:1หรือใกล้เคียงกันมาก​ ส่วนที่เหลืออีก0.9%%เป็นดีบุก​ แมงกานีส​ และพลวง​ และอีก0.1%เป็นโลหะหลายชนิดรวมกันที่พบในปริมาณที่น้อยมากๆคือทองคำ​ เงิน​ นิเกิล​ ซีลีเนียม และสังกะสี​ ส่วนชนิดโลหะที่มีตัวเลขรายงานผลเป็นสีแดงนั้นคือโลหะที่ตรวจไม่พบ ซึ่งพระทุกองค์จะมีชนิดและปริมาณโลหะที่เป็นมวลสารหลักที่ใกล้เคียงกันมากที่สุดเป็นสูตรของการสร้างไม่ใช่แค่การนำโลหะมาผสมกันธรรมดาแต่จะต้องมีการชั่ง​ ​ตวง​ วัด​ อย่างแน่นอน
           จากชนิดของโลหะที่เป็นมวลสารหลักที่หาได้จากเครื่องSpectrometerนี้​ทำให้เราสามารถมีคำอธิบายในเรื่องของสีของพระเนื้อเมฆพัดได้อย่างมีหลักการและมีเหตุผลมาสนับสนุน​ โดยอาศัยข้อมูลจากคุณสมบัติ​และธรรมชาติของโลหะหลัก​2ชนิดในองค์พระนั่นเอง
     -​ ทองแดง​ มีปริมาณครึ่งหนึ่งของมวลสารหลัก​มีความถ่วงจำเพาะ8.94 ซึ่งธรรมชาติและคุณสมบัติของทองแดงนั้นเมื่อหลอมเสร็จใหม่ๆจะมีสีแดงอมน้ำตาล​และเมื่อทิ้งไว้ให้สัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานบริเวณผิวขององค์พระก็จะเปลี่ยนสีเป็นหมองคล้ำและเปลี่ยนเป็นสีเทาอมดำหรือกลับดำ
     -​ ตะกั่ว​ เป็นมวลสารหลักที่มีสัดส่วนเท่ากันกับทองแดงแต่มีความถ่วงจำเพาะมากกว่าทองแดงคือ​11.35 ซึ่งหมายความว่าตะกั่วจะมีน้ำหนักมากกว่าทองแดง​ จากคุณสมบัตินี้ทำให้เวลาโลหะผสมถูกเทลงในพิมพ์จะทำให้ตะกั่วนั้นตกลงมาอยู่ด้านล่างหรือบริเวณที่เป็นผิวขององค์พระได้มากกว่าทองแดง​(ตัวอย่างเช่น”พระสำริดทอง”แม้จะมีปริมาณทองคำผสมอยู่ไม่มากแต่เมื่อเราส่องขยายที่ผิวพระก็จะเห็นทองคำที่ผิวได้ง่ายเนื่องจากทองคำมีความถ่วงจำเพาะสูงกว่าโละทุกชนิดที่นำมาสร้างพระ​ เวลาเทโลหะผสมที่เป็นของเหลวลงแม่พิมพ์ทองคำจะตกลงมาที่ส่วนล่างสุดคือที่ผิวขององค์พระได้ก่อนโลหะชนิดอื่น)​ธรรมชาติและคุณสมบัติของตะกั่วนั้นเมื่อหลอมเสร็จใหม่ๆจะมี”สีขาวอมน้ำเงิน” เมื่อทิ้งไว้ให้สัมผัสอากาศก็จะเปลี่ยนเป็นสีเทาอมครามหรือน้ำเงิน
           จากคุณสมบัติของทองแดงและตะกั่วที่กล่าวมาแล้ว ทำให้สามารถนำมาอธิบายสีของพระเนื้อเมฆพัดได้อย่างมีเหตุผลและชัดเจนมากขึ้นว่า”สีเทาอมครามหรือเทาอมน้้ำเงิน” ของพระเนื้อเมฆพัดนั้นเกิดจากสีของตะกั่วที่อยู่ที่ผิวขององค์พระซึ่งมีปริมาณมากกว่าทองแดงเนื่องจากตะกั่วมีน้ำหนักมากว่าทองแดงเวลาเทลงพิมพ์จึงเคลื่อนลงมาอยู่ด้านล่างหรือที่ผิวได้เร็วกว่าทองแดง​ ทำให้มองเห็นสีเทาอมครามหรืออมน้ำเงิน​ เพราะถ้ามีแต่ทองแดงหรือโลหะอื่นที่ไม่ใช่ตะกั่วจะไม่สามารถเห็นสีแววอมครามได้ ” ซึ่งในอดีตที่ผ่านมายังไม่เคยมีผู้ใดให้คำตอบเรื่องสีเทาอมครามหรืออมน้ำเงินนี้ได้อย่างถูกต้องชัดเจนได้เล​ย “
         สรุปแนวทางการศึกษาพระเนื้อเมฆพัด
– การสังเกตพิมพ์ต้องงดงาม​ ละเอียด​ ชัดเจนตามคุณสมบัติที่ออกแบบโดยผู้ที่เป็นช่างศิลป์
– อายุความเก่าของผิวองค์พระที่เป็นโลหะผสมที่นำมาสร้างต้องสมกับอายุการสร้างกว่า100ปีและมีสีผิวเทาอมครามถูกต้อง
– มวลสารที่นำมาสร้างต้องถูกต้องทั้งชนิด​ ปริมาณและสัดส่วนตามสูตรโบราณที่สืบทอดกันมาโดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาช่วยพิสูจน์
          จะเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมาจะมีแค่3องค์ประกอบหลักเท่านั้นที่ใช้เป็นตัวชี้วัดว่าเป็นของแท้หรือไม่​ แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้นำมาใช้ทั้งหมดส่วนมากใช้ความเชื่อถือในตัวบุคคลมากกว่าหลักการ และด้วยเหตุผลที่เคยกล่าวมาแล้วในเบื้องต้นว่า​ สมัยนี้ของแท้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นพระของใครใช้ความเห็นส่วนบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีชื่อเสียงเป็นหลักไม่มีใครหักล้าง​ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าไม่เคยมีใครที่รู้จริงและมีพระแท้ของจริงมาเปิดเผยและมีการนำหลักวิทยาศาสตร์มาตรวจสอบให้เห็นได้อย่างชัดเจนแบบที่ข้าพเจ้าได้ทำมาในรอบกว่า100ปี​ เพราะถ้าใช้แค่3องค์ประกอบหลักที่กล่าวมาเบื้องต้นกลุ่มคนดังกล่าวก็จะคัดค้านหรือเถียงได้เพราะทุกคนก็รู้และศึกษามาพอๆกันใครมีชื่อเสียงหรือพวกมากกว่าก็ย่อมได้เปรียบ ก็คงต้องให้ผู้ศึกษาพระเครื่องทั้งหลายใช้สติปัญญาและวิจารณญานของท่านว่าท่านจะเชื่อแบบใด​ ข้าพเจ้าทำได้แค่เพียงเป็นผู้ที่ให้ข้อมูล​ คำอธิบายและเหตุผลพร้อมทั้งการพิสูจน์ด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาประกอบให้ครบถ้วนที่สุดเท่าที่สามารถจะหามาได้​ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ยังไม่เคยมีใครเคยทำมาก่อนเท่านั้น​ สุดท้ายผู้ที่มีปัญญาที่ได้ศึกษาข้อมูลรอบด้านทั้งหมดแล้วท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินใจ

การศึกษาพระเครื่องเนื้อเมฆสิทธิ์

พระเนื้อเมฆสิทธิ์
            คำว่า”เมฆสิทธิ์”  ไม่พบว่ามีคำแปลในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน​ แต่ตามความหมายที่เข้าใจกันมาตั้งแต่สมัยโบราณจะหมายถึง​ โลหะผสมชนิดหนึ่งที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุของโลหะแบบหนึ่ง​ โลหะที่ได้จะมีลักษณแข็งแกร่ง​มีหลายสีเช่น​ สีเทา​ดำ เขียวอมทอง​ เขียวอมม่วงคล้ายสีปีกแมลงทับ
             จากข้อมูลต่างๆที่ข้าพเจ้าได้ทำการค้นคว้ายังไม่พบว่ามีหลักฐานในการใช้โลหะหลักชนิดใดในการสร้างที่แน่นอนของพระเนื้อเมฆสิทธิ์และทำไมจึงมีสีผสมผสานกันหลากหลายสีให้พบเห็นและสีที่เป็นเอกลักษณ์เหล่านั้นเกิดจากโลหะชนิดใด​ บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามวลสารหลักสร้างจากทองแดงและปรอท ซึ่งตามหลักการแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะตามหลักธรรมชาติและคุณสมบัติของปรอทนั้นจะอยู่ในสถานะที่เป็นของเหลวที่อุณภูมิห้อง​แต่เมื่อนำมาหลอมรวมกับโลหะอื่นที่ความร้อนสูงก็น่าจะระเหยไปจนหมดจะไม่หลงเหลืออยู่ในวัสดุนั้นอีก​ ดังนั้นในความเห็นของข้าพเจ้าปรอทจึงเป็นเพียงโลหะที่นำมาใช้ผสมเฉพาะช่วงต้นของการสร้างพระเนื้อเมฆสิทธิ์เพื่อช่วยให้โลหะต่างๆที่เป็นมวลสารหลักรวมตัวเข้ากันได้ดีขึ้น​เท่านั้น ไม่ใช่เป็นมวลสารหลักอย่างที่เคยเข้าใจกันมา​ ข้าพเจ้าได้สะสมพระเนื้อเมฆสิทธิ์ของหลวงพ่อทับ​ วัดอนงคารามไว้จำนวน5องค์หลากพิมพ์และสีมาเกือบ10ปีได้แก่​พิมพ์ปางซ่อนหา1องค์​ ลูกอมหรือลูกสะกด1องค์​  พระปิดทวารทั้ง9หลังเรียบ2องค์​ และพระปิดทวารทั้ง9หลังยันต์1องค์​ ตามภาพ(รูปที่2)​ ในตอนแรกนั้นได้เพียงแค่การศึกษาลักษณะทางกายกาพคือ1.รายละเอียดของพิมพ์​ 2.สีและมวลสารที่เป็นโลหะส่วนผิวภายนอก​3.ความเก่าของโลหะและคราบสนิมของโลหะ​ ซึ่งเป็น​การศึกษาจนครบทั้ง3องค์ประกอบหลักเบื้องต้นในการศึกษาพระเครื่องทุกชนิดตามที่ข้าพเจ้าได้เคยกล่าวไว้แล้ว​  ซึ่งถ้าเราศึกษาจนครบถ้วนแล้วก็สามารถนำไปใช้แยกแยะออกจากของปลอมได้อย่างแน่นอน​  เ​พราะของปลอมที่พบเห็นตามสนามหรือสื่อออนไลน์ต่างๆนั้นจะไม่มีองค์ประกอบครบทั้ง3อย่างเลย​ ไม่ว่าจะเป็นพิมพ์ที่ผิดเพี้ยน​ ลักษณะของสีหรือชนิดโลหะที่นำมาสร้างที่ไม่ใช่​โลหะหลักของจริง และความเก่าที่เหมาะสมกับอายุของโลหะที่ไม่สามารถทำได้​ แต่ข้าพเจ้ายังคงมีความสงสัยอยู่ตลอดว่าสีต่างๆที่เห็นในพระเนื้อเมฆสิทธิ์ที่แตกต่างกันในแต่ละองค์นั้นเกิดจากอะไรทำไมจึงมีเอกลักษณ์เช่นนี้​ รู้แต่เพียงว่าเกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุแต่ยังไม่มีใครค้นคว้าหาคำตอบมาอธิบายให้เห็นชัดเเจ้งได้เลยว่าเป็นธาตุหรือโลหะอะไรบ้าง?

 รูปที่ 1. ภาพการตรวจสอบชนิดโลหะของพระเนื้อเมฆสิทธิ์โดยเครื่อง XRF Spectrometer

 รูปที่ 2. ภาพตัวอย่างพระเนื้อเมฆสิทธิ์หลวงพ่อทับ​ วัดอนงคาราม​ จำนวน5องค์

             แต่เมื่อไม่นานมานี้ขณะที่ข้าพเจ้าได้นำพระเหรียญทองคำไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์เพื่อหาเปอร์เซ็นต์ของทองคำ​ ซึ่งเครื่องมือนี้สามารถตรวจสอบหาชนิดของโลหะได้แทบทุกชนิดในวัตถุตัวอย่าง​ ข้าพเจ้าจึงได้นำพระเนื้อเมฆสิทธิ์ที่เก็บสะสมไว้ไปตรวจสอบเพื่อหาชนิดของโลหะเพื่อต้องการทราบว่าแท้ที่จริงแล้วพระเนื้อเมฆสิทธิ์นั้นมีส่วนผสมของโลหะใดบ้างจึงทำให้มีลักษณะ​ของสีที่เป็นเอกลักษณ์ที่เราได้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งในวันที่​ 21​มีนาคม2562​ เป็นวันที่ข้าพเจ้าได้นำพระเนื้อเมฆสิทธิ์ทั้ง5องค์ไปทำการตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจสอบชนิดของโลหะที่ชื่อว่า​ XRF​ Spectrometer​ ตามภาพด้านบน​(รูปที่1)​และผลการตรวจสอบชนิดโลหะของทุกองค์แม้ว่าจะมีสภาพสีภายนอกที่ดูแตกต่างกันชัดเจนเสมือนว่าทำมาจากโลหะต่างชนิดกัน​ แต่ผลการตรวจสอบที่ออกมากลับพบว่าพระทุกองค์มีส่วนประกอบของชนิดโลหะหลักที่เหมือนกัน​ นอกจากนั้นแล้วยังมีปริมาณของโลหะที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันมากด้วย จึงเป็นเครื่องพิสูจน์และบ่งชี้ให้เห็นว่าการสร้างพระเนื้อเมฆสิทธิ์นั้นมีสูตรการคำนวณในการสร้างที่ชัดเจนแน่นอน​ ซึ่งผลการตรวจสอบชนิดและปริมาณโลหะที่ได้ออกมาตามรูปภาพด้านล่าง (รูปที่3)​

 รูปที่ 3. ผลรายงานชนิดและปริมาณโลหะในพระเนื้อเมฆสิทธิ์จากเครื่อง​ XRF Spectrometer

           จากใบรายงานผลการตรวจสอบชนิดและปริมาณโลหะของพระเนื้อเมฆสิทธิ์ทั้งหมดพบว่าชนิดของโลหะที่เป็นมวลสารหลักของเนื้อเมฆสิทธิ์คือ​ “ทองแดง​(Cu)” และ​ “พลวง​(Sb)” ซึ่งรวมกันแล้วมีปริมาณ99%ของมวลสารทั้งหมด​และสัดส่วนของทองแดงจะเป็น2เท่าของปริมาณพลวงในทุกๆองค์ ส่วนชนิดของโลหะชนิดอื่นๆที่พบคือ​ ซิลิกา(Si)กำมะถัน(S)​เทลลูเรียม(Te)​ตะกั่ว(Pb)​และปรอท(Hg)​ ซึ่งรวมกันแล้วมีเพียง1%ของปริมาณมวลสารทั้งหมด
              จากข้อมูลที่ได้นี้สรุปได้ว่าพระเนื้อเมฆสิทธิ์ทุกองค์นั้นสร้างจากโลหะหลัก2ชนิดคือ”ทองแดง” และ”พลวง” ในสัดส่วน2ต่อ1ตามลำดับ​ ส่วนที่มีโลหะชนิดอื่นๆเช่นกำมะถัน​ ปรอท​ ซิลิกา​ ผสมอยู่ด้วยนั้นคาดว่าไม่ได้เป็นมวลสารหลักแต่เป็นโลหะที่ซัดหรือผสมเข้ามาในขั้นตอนการหลอมของมวลสารตามภูมิปัญญาโบราณที่เรียกว่าการเล่นแร่แปรธาตุเพื่อให้โลหะหลักผสมเข้ากันได้และง่ายต่อการสร้างให้ได้รูปตามแบบแม่พิมพ์หรืออาจจะเป็นส่วนประกอบย่อยของมวลสารหลักที่ไม่บริสุทธิ์ขณะที่นำมาสร้างพระนั่นเอง
               จากข้อมูลของชนิดโลหะที่ได้จากการตรวจสอบด้วยเครื่องมือXRF​ Spectometeนี้​ จึงเป็นที่มาของคำตอบต่อคำถามที่หลายคนสงสัยกันมานานนับ100ปีว่า​สีต่างๆของเนื้อเมฆสิทธิ์เช่น​ เทาอมดำ เขียว​ ฟ้า​ ​เหลือง​ หรือที่เรียกวว่าสีปีกแมลงทับนั้นเกิดจากอะไรที่ทำให้มีเอกลักษณ์เป็นเช่นนั้น​ คำตอบก็คือ​เป็นสีที่ผิวของโลหะที่เป็นมวลสารหลักคือ” ทองแดง”และ” พลวง”ที่ทำปฏิกิริยากับอากาศหรือ​ อ็อกซิเจนนั่นเอง​ เพื่อให้เข้าใจง่ายและชัดเจนมากยิ่งขึ้นเราจึงควรเข้าใจธรรมชาติและคุณสมบัติทางกายภาพของโลหะหลักทั้ง​ ​2​ชนิดของเนื้อเมฆสิทธิ์เสียก่อนดังนี้
     -​ ทองแดง​ เป็นหนึ่งในมวลสารหลักซึ่งมีปริมาณ​กว่า60% เป็นโลหะที่มีคุณสมบัติเป็นสีแดงอมน้ำตาล​ ธรรมชาติของทองแดงถ้าถูกสัมผัสกับอากาศเป็นเวลานานๆจะเกิดการเปลี่ยนเป็นสีหมองคล้ำกลายเป็นสีเทาหรือเทาอมดำที่เรียกว่ากลับดำนั่นเอง​ ซึ่งจะพบเห็นในพระเนื้อเมฆสิทธิ์บางองค์ที่มีสีเทาอมดำตามภาพด้านบน(รูปที่2)​
     -​ พลวง​ เป็นหนึ่งในมวลสารหลักกว่า30%เป็นโลหะที่พบทั้งที่เรียกว่าพลวงเงินและพลวงทอง​ มีคุณสมบัติที่มีสีต่างๆให้พบเห็นได้หลายสีได้แก่สีเทาคล้ายตะกั่วมีความวาวบริเวณที่เป็นผิวบริสุทธิ์​ (พลวงเงิน)​บางครั้งพบว่ามีสีเหลืองอ่อน​ น้ำตาลอ่อนหรือขาวคล้ำ(พลวงทอง)​ พลวงที่เป็นโลหะเสถียรจะมี”สีฟ้า” ส่วนที่ไม่เสถียรจะมีสีเหลืองหรือดำ​ ลักษณะสีต่างๆที่ผสมผสานของสีเหลือง​ ดำและสีฟ้านี้เองทำให้เกิดเป็น​”สีเขียวเหลือบ” ที่เราเรียกว่า”สีปีกแมลงทับ”นั่นเอง​ ซึ่งใพบได้ในพระเนื้อเมฆสิทธิ์บางองค์ซึ่งเป็นสีที่นิยมกันมากที่สุดในหมู่นักสะสม และมีตัวอย่างพระสีปีกแมลงทับให้ชมตามภาพด้านบน(รูปที่2)​
     -​ ซิลิกา​ พบในรูปของทรายและดินเหนียวเป็นมวลสารโลหะที่ผสมอยู่ไม่ถึง1%มีหน้าที่ทำให้ทนความร้อนได้ดีและเพิ่มความเงาให้เนื้อเพิ่มมากขึ้น​ ทำให้ได้เห็นความมันวาวที่ผิวพระเนื้อเมฆสิทธิ์
     -​ เทลลูเรียม​ เป็นธาตุกึ่งโลหะสีขาวเงินคล้ายดีบุกมีคุณสมบัติทางเคมีเหมือนกำมะถันเพื่อใช้ประโยชน์ในการช่วยหลอมโลหะผสมซึ่งสีขาวเงินที่พบในกพระเครื่อง​เนื้อเมฆสิทธิ์นอกจากสีของพลวงแล้วส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเนื้อของเทลลูเรียมได้อีกด้วย
     -​ ฟอสฟอรัส​ คำนี้มาจากภาษากรีกแปลว่า”มีแสง”หรือ”เกิดแสง”เพราะว่าฟอสฟอรัสจะเรืองแสงอ่อนๆเมื่อมีอากาศหรืออ็อกซิเจน(​ค้นพบโดยนักเล่นแร่แปรธาตุชาวเยอรมัน)​ดังนั้นการเหลือบของสีพระเนื้อเมฆสิทธิ์ส่วนหนึ่งน่าจะมีสาเหตุของฟอสฟอรัสที่ผิวเมื่อสัมผัสกับอากาศ​ โดยเฉพาะเมื่อฟอสฟอรัสเมื่อผสมกับซิลิกาจะยิ่งทำให้เกิดความมันหรือเหลือบเป็นเงามากยิ่งขึ้น
        จะเห็นได้ว่าในใบรายงานผลตรวจชนิดโลหะของพระเนื้อเมฆสิทธิ์ทุกองค์ไม่มีส่วนผสมของปรอทแต่อย่างใด​ ซึ่งเป็นไปตามข้อสัณนิษฐานของข้าพเจ้าที่ว่า​ ปรอทนั้นไม่ใช่มวลสารหลักในการสร้าง​พระแต่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่ทำให้ทองแดงและพลวงผสมผสานรวมตัวเข้ากันได้ง่ายขึ้น​ ซึ่งจากหลักการเดียวกันนี้ข้าพเจ้ายังได้รับทราบข้อมูลจากการสอบถามจากทันตแพทย์ว่า​ ในสาร”อมัลกัม” ที่ใช้เป็นสารอุดฟันนั้นจะใช้ปรอทเป็นตัวช่วยในการผสมของโลหะดีบุก​ ทองแดงและสังกะสีเพื่อให้ส่วนผสมทั้ง3รวมตัวเข้ากันได้ง่ายขึ้นหลังจากนั้นจะซับของเหลวที่เป็นปรอทออกก่อนที่จำนำไปใช้อุดฟันทำให้ปรอทที่เป็นของเหลวถูกซับและระเหยออกไปจนหมดก่อนนำมาใช้
      สรุปแนวทางการศึกษาพระเนื้อเมฆสิทธิ์
-การสังเกตรายละเอียดของพิมพ์ที่ต้องงดงาม​ อ่อนช้อยและชัดเจนซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ออกแบบโดยช่างศิลป์
-ความเก่าของผิวโลหะที่สมกับอายุการสร้างมานับ100ปี
-มวลสารของเนื้อเมฆสิทธิ์ที่ถูกต้องซึ่งจะทำให้มีสีที่เป็นเอกลักษณ์ทำเลียนแบบไม่ได้​ นอกจากการสังเกต3องค์ประกอบหลักเบื้องต้นแล้วถ้ายังมีข้อขัดแย้งอยู่ในปัจจุบันนี้ที่มี”จุดตาย”ที่สำคัญอีกจุดหนึ่งที่จะแยกของปลอมออกไปได้คือการตรวจหาชนิดและปริมาณโลหะหลักด้วยเครื่ิอง​มือ​ XRF Spectrometer​นั่น​เอง
            จากคุณสมบัติของโลหะที่นำมาใช้สร้างพระเนื้อเมฆสิทธิ์นี้เองจึงเป็นที่มาของคำตอบที่ยังไม่เคยมีใครสามารถหาเหตุผลมาอธิบายได้ว่าสีที่เป็นเอกลักษณ์ของพระนั้นเกิดจากสิ่งใดและเป็นปุจฉาที่ล่วงเวลามานับ100ปี